SIRI ร่วง! ดักเก็บ STEC พุ่ง! ขายทำกำไร
ทันทีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยว่า “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ปรากฏว่า หุ้น SIRI ร่วงลงต่อแบบ “ลงลิฟต์” ทันที
ทันทีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยว่า “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น
ปรากฏว่า หุ้น บมจ.แสนสิริ (SIRI) ร่วงลงต่อแบบ “ลงลิฟต์” ทันที
และลงไปจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1.51 บาท ก่อนที่จะดีดกลับขึ้นมาได้ และปิดตลาด 1.54 บาท
ก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นแสนสิริมีการย่อตัวลงมาอยู่ก่อนแล้ว หรือจากบริเวณราคา 1.70 บาท +/- เล็กน้อย และทยอยลงมาเรื่อย ๆ และมาอยู่ระหว่าง 1.56-1.60 บาท
การปรับลงของหุ้นแสนสิริ หากจะถามว่า น้ำหนัก หรือ ปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นลงนั้น
ระหว่างปัจจัย เศรษฐา พ้นจากตำแหน่งนายกฯ
และผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ที่ออกมา กำไรลดลงมาเหลือ 1,387 ล้านบาท ลดลง 14.50% จากไตรมาส 2/2566
ปัจจัยไหนมีน้ำหนักต่อการที่ราคาถูกกดลงมามากกว่ากัน
คำตอบคือ ประเด็นเรื่องคุณเศรษฐา หลุดจากตำแหน่งนั่นแหละ
แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ราคาหุ้น แสนสิริที่ปรับลงมา ถือว่าต่ำกว่าพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นอสังหาฯ ตัวนี้ค่อนข้างมาก
เพราะแม้ว่ากำไรจะปรับลดลงในงวดไตรมาส 2/2567
แต่ตัวเลขที่ออกมา เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ต่างคาดกันไว้แล้ว
ยิ่งหากกลับมาดูตัวเลข “กำไรปกติ” จะพบว่า หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (+20%) และไตรมาสเดียวกันปีก่อน (+8%) ต่างออกมาเป็นบวก และถือว่าเป็นกำไรรายไตรมาสที่ค่อนข้างสูง
ยิ่งไปกว่านั้น การประกาศจ่ายเงินปันระหว่างกาล 0.07 บาท ต่อหุ้น
หากเทียบกับราคาปิดวานนี้ 1.54 บาท
เมื่อคำนวณออกมาจะได้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลถึง 4.54%
วานนี้ หากนักลงทุนคนไหนที่เข้าไปเก็บหุ้นได้ในช่วงราคา 1.52 บาท ถือว่า “คุ้ม” (หากเทียบกับพื้นฐาน)
หรือหากวันนี้ราคายังย่อตัวอีก นั่นคือจังหวะดักเก็บสะสมที่ดีมาก ๆ
แต่อย่างว่าล่ะ หุ้นแสนสิริที่ร่วงลงจาก “แรงกระแทกทางการเมือง”
ในระยะสั้น ราคาหุ้นอาจจะเผชิญกับความผันผวน (บ้าง)
และเมื่อผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ราคาหุ้นจะกลับเข้าสู่จุด “สมดุล” หรือสะท้อนถึงพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้น
เมื่อเข้าไปดูบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่าง ๆ หลังจาก แสนสิริ แจ้งงบงวดไตรมาส 2/2567 ออกมา ต่างมีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการและทิศทางของแสนสิริในระยะถัดไป
หรือสรุปได้ว่า ยังคงอยู่ในทิศทางที่เป็นไปตามคาดการณ์
ทั้งประเด็นเชิงบวกเรื่องยอดการโอน และการจ่ายเงินปันผลที่มียีลด์สูง (มาก)
ประกอบกับ แสนสิริ เน้นกลุ่มลูกค้าที่มีเงินหนาจริง ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ
จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก หรือกระทบน้อยสุดเมื่อเทียบกับค่ายอสังหาฯ รายอื่น
บล.บัวหลวง ให้ราคาเป้าหมาย แสนสิริ 2.10 บาท
บล.กรุงศรี ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 2.20 บาท, บล.หยวนต้า ให้ราคาเป้าหมาย 2.10 บาท, บล.เอเซีย พลัส ให้ราคา 2.20 บาท และ บล.ทรีนีตี้ ให้ราคาไว้ที่ 2.10 บาท
ทั้งหมดนี้ โบรกฯ ต่างพิจารณาจากปัจจัย “พื้นฐาน”
ส่วนหุ้น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น หรือ STEC นั้น
วานนี้ (14 ส.ค.) ปิดตลาด +0.90 บาท มาที่ 9.00 บาท เปลี่ยนแปลง +11.11%
แรงซื้อที่เข้ามายังหุ้นรับเหมาตัวนี้ น่าจะมาจากรับเซนติเมนต์เชิงบวก จากข่าวที่ว่า “อนุทิน ชาญวีรกูล” นั้น มีโอกาสที่จะเป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีคนใหม่
หรือราคาหุ้นได้รับแรงหนุนจากปัจจัยทางการเมือง
ราคาหุ้นที่วานนี้ปิดระดับ 9.00 บาท
หากเข้าไปดูราคาที่เป็น Consensus ถือว่าให้กับราคาพื้นฐานเฉลี่ยที่ประมาณ 9.70-9.80 บาท หุ้น
และเมื่อเข้าไปดูอัตราผลตอบแทนเงินปันผล เฉลี่ย 1.67% (ข้อมูลปันผล 4 ไตรมาสย้อนหลัง) แทบจะไม่ค่อยน่าสนใจ สำหรับนักลงทุนสายรับปันผล
สรุป ราคาหุ้นของ STEC ใกล้เต็มมูลค่า
และเป็นหุ้นที่มียีลด์ไม่ได้สูงมากนัก จึงต้องระวังการที่ราคาหุ้นถูกลากขึ้นมา
และมีแรงขายทำกำไร
ธนะชัย ณ นคร