หุ้นเน่า?

คำพูดที่ “โมนิก้า” ได้ยินแล้วรู้สึกตกใจสุด ๆ ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็คือ “หุ้นไทยเน่า?” ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำให้อีฉันไม่สบายใจอย่างรุนแรง


คำพูดที่ “โมนิก้า” ได้ยินแล้วรู้สึกตกใจสุด ๆ ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็คือ “หุ้นไทยเน่า?” ซึ่งเป็นคำพูดที่ทำให้อีฉันไม่สบายใจอย่างรุนแรง เพราะเป็นคำพูดที่เกินเลยจากความจริงไปมากเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า หุ้นหลายตัวทำผลงานได้ไม่ค่อยดี แถมราคาหุ้นก็ร่วงหนักเหลือเกิน จึงทำให้นักลงทุนมองสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในทางลบกันทั้งนั้นเจ้าค่ะ

ประจวบกับมีอุบัติเหตุการเมืองขึ้นมาพอดี จึงทำให้ผู้คนเกิดความกังวลเศรษฐกิจขึ้นมาทันที เพราะนโยบายหลายอย่างอาจไม่ได้ไปต่อ รวมถึงแผนกระตุ้นเศรษฐกิจก็ต้องชะลอออกไปก่อนแบบนี้ จึงกลายเป็นแรงสนับสนุนให้นักลงทุนขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง วานนี้ถึงเห็นดัชนีอ่อนตัวลงมายืนอยู่ที่ 1,289.84 จุด ลบไป 2.85 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.13 หมื่นล้านบาทไงล่ะตัวเอง

ถามว่า นายกฯ คนใหม่จะเรียกความเชื่อมั่นได้ขนาดไหน? และคนทั่วไปจะเกิดอาการร้องยี้กันหรือเปล่า? ก็ต้องดูกันต่อไปเรื่อย ๆ เพราะวันนี้สังคมได้เห็นแล้วว่า การทำอะไรที่ล้ำเส้นจากมาตรฐานที่เป็นอยู่ ก็ต้องถูกลงโทษตามกระบวนการกฎหมาย “โมนิก้า” ถึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเม้าท์ถึงเรื่องการเมือง เพราะเม้าท์ขึ้นมาทีไร..ก็อยากจะอ้วกทุกที เพราะมันเห็นกันทนโท่ว่า เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวกันทั้งนั้น!..อิอิอิ

ขนาดรายที่เขาว่าแน่ ๆ และมีพวกวีไอเล่นกันบ่อยอย่าง KAMART ยังถูกรินขายออกมาเป็นระลอก จนวานนี้โดนสาดออกมาโครมเดียว จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 11.90 บาท ลบไป 1.20 บาท หรือลงไป 9.16% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 161 ล้านบาท ท่ามกลางกำไรไตรมาส 2 ลดครึ่งหนึ่งแบบนี้ เดี๊ยนบอกได้ทันทีว่า เศรษฐกิจมีผลกับการทำกำไรของบริษัท และมีความเป็นไปได้สูงที่กำไรไตรมาส 3 จะลดลงจ้า!

ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงน้องตาล TAN ซึ่งเข้าตลาดหุ้นเมื่อ ต.ค. ปีที่แล้วเป็นรายถัดมา เพราะสถานการณ์ของหุ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาไม่ดีเอาเสียเลย แถมผลประกอบการไตรมาส 2 ก็แสดงตัวเลขกำไรที่ลดลงแบบนี้ จึงกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนทิ้งหุ้นลูกเดียว วานี้ถึงเห็นราคาหุ้นทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 8.70 บาท ลบไป 3.10 บาท หรือลงไป 26.27% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 46 ล้านบาท พร้อมกับทำ all time low แบบไร้แรงตอบโต้เจ้าค่ะ

หุ้นอีกรายที่ “โมนิก้า” เชื่อว่าจะทรุดลงอีกเรื่อย ๆ คงมองไปยัง STEC หลังกำไรไตรมาส 2 ทำได้แค่ 25 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 153 ล้านบาท และเมื่อมองกำไรต่อหุ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาก็เหลือแค่ 0.02 บาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.21 บาทแบบนี้ คุณ ๆ ท่าน ๆ คิดว่า การยืนปิดที่ระดับ 8.05 บาท ลบไป 0.95 บาท หรือลงไป 10.56% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 160 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 37 เท่า มันทำให้ราคาหุ้นตอนนี้แพงไปไหม?

ในเมื่อมีเรื่องต้องคิดกันทั้งที “โมนิก้า” ก็อยากให้แฟนคลับช่วยประเมินหุ้น LH ที่ลงมาเรื่อย ๆ ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 5.05 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 689 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 14 ปี 2 เดือน ท่ามกลาง PE 8.70 เท่า โดยกำไรไตรมาส 2 ลดลงเหลือ 1.01 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.45 พันล้านบาท มันเป็นการที่ลงแบบโอเว่อร์ไปหรือเปล่า?..ช่วยตอบหน่อยสิจ๊ะ

ส่วนรายที่เละสุด ๆ ในเวลานี้ คงไม่มีใครเกินไปกว่า YGG เพราะผลการดำเนินงานไตรมาส 2 พลิกขาดทุนสูงถึง 378 ล้านบาท ผนวกกับผู้บริหารถูกจับฟอร์ซเซลจนเกือบหมดตัว เดี๊ยนเลยไม่แปลกใจที่วานนี้โดนถล่มแบบไม่ปรานี เพราะมันไม่มีอะไรที่ทำให้เชื่อว่า กลับมาได้? วานนี้ถึงเห็นราคาหุ้นลงมายืนอยู่ที่ 0.83 บาท ลบไป 0.37 บาท หรือลงไป 30.83% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 250 ล้านบาทไงล่ะคะ

สุดท้ายนี้ “โมนิก้า” ขอแจกแจงให้นักลงทุนฟังอีกครั้งว่า หุ้นตัวที่เอ่ยถึงในข้างต้นมีทั้งกำไรลดเล็กน้อย กำไรลดเยอะมาก และตัวที่ขาดทุนหนัก จึงไม่อยากให้แฟนคลับเหมารวมหุ้นในตลาดแย่ทั้งหมด เพราะหุ้นบางตัวก็มีราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก จึงน่าจะเป็นโอกาสของการทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัวลงมา..จริงหรือไม่ ก็ลองไปคิดกันดูนะออเจ้า

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button