SET มีโอกาส Sideway Up จากคาดหวังรัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้น ศก.
InnovestX มองว่า รายงานการประชุมของ FOMC เดือน ก.ค. ในครั้งนี้ บ่งชี้ว่า คณะกรรมการเห็นถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นหากคงดอกเบี้ย
InnovestX มองว่า รายงานการประชุมของ FOMC เดือน ก.ค. ในครั้งนี้ บ่งชี้ว่า คณะกรรมการเห็นถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นหากคงดอกเบี้ยในระดับสูงต่อเนื่องอยู่แล้ว บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการลดดอกเบี้ย นอกจากนั้น การปรับลดตัวเลขการจ้างงานถึง 8.2 แสนตำแหน่งบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐฯ รวมถึงปัญหาในการจัดเก็บข้อมูล อย่างไรก็ตาม InnovestX มองว่า ระยะต่อไป Fed เผชิญกับความท้าทายในการสื่อสารต่อสาธารณชนใน 2 ประเด็น คือ
(1) Fed กำลังเปลี่ยนแปลงจุดยืนในการดำเนินนโยบาย (Policy stance) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่มากขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงคล้ายกรณี BoJ มากขึ้น
(2) การบริหารจัดการความคาดหวัง โดยหากส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยรวดเร็วเกินไป อาจทำให้ตลาดและประชาชนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีปัญหามากกว่าที่คาด ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์ Self-fulfilling และทำให้เศรษฐกิจชะลอรุนแรงได้ แต่หากช้าเกินไป ก็อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอแรงขึ้นเช่นกัน
ในส่วนมุมมองต่อแนวนโยบายของแฮร์ริส InnovestX มองว่า (1) แนวนโยบายเพิ่มที่อยู่อาศัยเหมาะสมในหลักการ เพราะสหรัฐฯ ขาดแคลนบ้าน 4-7 ล้านหลัง แต่ทำอย่างโปร่งใส (2) การคุมราคาอาหารและค่ารักษาพยาบาลช่วยประชาชนระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นการบิดเบือนกลไกตลาดและทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตลดลง รวมถึงอาจเกิดตลาดมืด (3) การใช้กลไกงบประมาณและชดเชยด้วยการขึ้นภาษีนั้น อาจนำมาสู่การขาดดุลการคลังมากขึ้น โดยมีการคำนวณว่าจะทำให้รัฐบาลขาดดุลมากขึ้น 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า (หรือ 0.5% GDP ต่อปี แต่ก็ยังน้อยกว่ารัฐบาลทรัมป์ที่ 1.6% GDP/ปี)
ส่วนของตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET จะแกว่งตัว Sideway Up จากความคืบหน้าของการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดหวังจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในปลายไตรมาส 3-4 ปี 2567 ส่วน Fund Flow มองว่ามีโอกาสไหลเข้าแต่ไม่แรงเพราะภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังต่ำเมื่อเทียบกับภูมิภาค อย่างไรก็ดี มองเม็ดเงินลงทุนจะไหลออกจากกลุ่มพลังงาน สื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ เข้าสู่กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก และการแพทย์ ขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ คาดจะยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงซึ่งจะส่งต่อความคาดหวังการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมระยะถัดไป และดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนคาดยังอ่อนแอซึ่งมองว่าตลาดรับรู้ไปแล้วในระดับหนึ่ง
กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1.นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรหุ้นที่อยู่ในภาวะ Oversold และ Undervalue เลือก SCGP, BCH, KCE, PTTGC และ OSP ขณะที่ให้เพิ่มความระมัดระวังการลงทุนในระยะสั้นสำหรับหุ้นที่อยู่ในภาวะ Overbought อย่าง COM7, VGI, TRUE, ADVANC
2.หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากความคาดหวังรัฐบาลใหม่จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แนะนำ CPALL, CPAXT, BJC, TNP, OSP และ CBG
3.นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในหุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC, TIDLOR) กลุ่มอสังหาฯ (AP, SPALI, SIRI) กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF, CKP)
4.หุ้นที่กลุ่ม Earning Play ซึ่งมีโมเมนตัมกำไรยังดี โดยไตรมาส 3/2567 คาดเติบโตเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (YoY) และจากไตรมาสก่อน (QoQ) ส่วน 2H67 คาดเติบโต HoH และ YoY อีกทั้ง Valuation ไม่แพง เลือก DELTA, GULF, BDMS และ BEM
สุกิจ อุดมศิริกุล
แนวนโยบายด้านเศรษฐกิจของ Kamala Harris
ด้าน | แนวนโยบาย |
ที่อยู่อาศัย | การก่อสร้างบ้านใหม่ 3 ล้านหลังในอีกสี่ปี โดยเตรียมงบประมาณสนับสนุนการก่อสร้าง 4.0 หมื่นล้านดอลลาร์ |
อาหารและของชํา | ควบคุมการโก่งราคาสินค้า (price gouging) ในช่วงสินค้าขาดแคลน |
ค่ารักษาพยาบาล | 1) ควบคุมราคายาจำเป็น เช่น ตั้งเพดานราคาอินซูลินที่ 35 ดอลลาร์ต่อเดือน และควบคุมค่ารักษาพยาบาลที่ประชาชนจ่ายไม่ให้เกิน 2,000 ดอลลาร์ต่อปี
2) ร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่น ยกเลิกหนี้ค่ารักษาพยาบาลของประชาชน |
นโยบายภาษี | 1) การลดภาษี สําหรับครอบครัวที่มีรายได้น้อยและปานกลาง โดยเพิ่มส่วนลดหย่อนภาษีให้เด็ก 0-1 ปี วงเงิน 6,000 ดอลลาร์ เพิ่มจาก 2,000 ดอลลาร์
2) เพิ่มอัตราภาษีนิติบุคคลเป็น 28% จาก 21% เฉพาะบุคคลที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี |
Sources : Various sources