พาราสาวะถี
เพิ่งพูดไปหยก ๆ ประเด็น ทักษิณ ชินวัตร “ครอบงำ” ทั้งพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล จะถูกนำไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้าม
เพิ่งพูดไปหยก ๆ ประเด็น ทักษิณ ชินวัตร “ครอบงำ” ทั้งพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล จะถูกนำไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้าม ยื่นร้องเอาผิดกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง แล้วก็เกิดขึ้นจริงเมื่อผู้ร้องนิรนามที่ไม่เปิดเผยทั้งชื่อและนามสกุล ไปยื่นร้องต่อ กกต.ให้ยุบพรรคแกนนำรัฐบาล โดยข้อกล่าวหาว่าอดีตนายกรัฐมนตรีครอบงำ ชี้แนวพรรคและรัฐบาล ถามว่าเป็นประเด็นที่น่าหนักใจหรือไม่ หากเป็นการเมืองเลือกข้าง ตามล่าตามล้างระบอบทักษิณเหมือนก่อนหน้า ต้องบอกว่าน่าห่วง
พอสถานการณ์เปลี่ยนไป การเกิดขึ้นของรัฐบาลพลิกขั้ว จนพรรคนายใหญ่ถูกกล่าวหาว่าตระบัดสัตย์ มันย่อมทำให้เห็นรูปรอยของการประกอบร่างอย่างมีเป้าหมาย ที่สวยหรูฟังดูดีคือรัฐบาลแห่งความร่วมมือเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง บทพิสูจน์ว่าไปถึงจุดนั้นได้จริงหรือไม่ ให้รอดูการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ หากจับทิศทาง ความเคลื่อนไหวที่เป็นอยู่เวลานี้ แนวโน้มค่อนข้างชัด ตระกูลวงษ์สุวรรณไม่มีชื่อร่วม ครม.แพทองธาร 1 เป็นแน่แท้
หลักฐานชัดจากจดหมายของพรรคพลังประชารัฐที่ส่งถึง แพทองธาร ชินวัตร ให้ใช้ความเป็นนายกฯ สั่งการสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการส่งแบบข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องการแต่งตั้งรัฐมนตรีให้กับ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เพื่อที่พรรคพลังประชารัฐจะได้ดำเนินการให้มีการกรอกข้อมูลในแบบฯ และนำส่งสำนักเลขาธิการ ครม.โดยเร็วต่อไป ทวงถามกันออกสื่อ ออกอาการดิ้นกันแบบนี้ ย่อมเป็นการยืนยันแล้วว่า พรรคเพื่อไทยเลือกก๊วนไหนร่วมรัฐบาล
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันย่อมสื่อไปถึงการที่จะดึงเอาพรรคเก่าแก่มาร่วมรัฐบาลด้วย เหลือเพียงพิธีกรรมในส่วนของพรรคจอมหลักการเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามประชาธิปัตย์สไตล์เท่านั้น สำหรับประเด็นความขัดแย้ง หรือความเห็นต่างที่จะตามมา ถือเป็นวิถีของพรรคการเมืองแห่งนี้อยู่แล้ว ใครทนไม่ไหวก็ไขก๊อกออกไปเอง เรื่องที่จะมีการอัปเปหิใครนั้นคงไม่เกิดขึ้น การเมืองช่วงของความขัดแย้งก็จะได้เห็นพฤติกรรมของความแตกแยกทางความคิดของพรรค หรือกลุ่มการเมืองที่อยู่คนละพวก
แต่พอเป็นการเมืองช่วงของการสมานฉันท์ ฝ่ายที่พร้อมจะสามัคคีก็ต้องยอมรับความไม่ลงรอยที่เกิดขึ้นระหว่างพรรค หรือพวกเดียวกันเอง คงไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา แต่เป็นธรรมชาติของการเมือง นักเลือกตั้งไม่มีใครที่อยากจะจมจ่อมอยู่กับการเป็นฝ่ายค้าน เมื่อมีจังหวะที่จะร่วมขบวนของอำนาจฝ่ายบริหาร ย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอย การวางโครงก้าวข้ามความขัดแย้งไว้ล่วงหน้า มันช่วยให้ลดอุปสรรคที่จะขัดขวางการจับมือกับฝ่ายแกนนำรัฐบาลได้ในระดับหนึ่ง
จะว่าไปสัญญาณความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับพรรคเก่าแก่ มีมาตั้งแต่คราวพ่ายแพ้เลือกตั้งปี 2562 ตามมาด้วยการสังเวยเก้าอี้ สส. หัวหน้าพรรค และเส้นทางเดินทางการเมืองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แล้ว กระทั่งหลังเลือกตั้งปี 2566 จนถึงการเลือกหัวหน้าพรรคที่จะจบลงด้วยการได้ “บิ๊กต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน มาเป็นผู้นำ เหล่านี้คือตัวบ่งชี้ว่า อำนาจ บารมี และการยึดติดต่อความจงเกลียดจงชังของผู้หลักผู้ใหญ่บางคนในพรรคต้องหยุดลงไปด้วย ถ้าทำใจยอมรับไม่ได้ฝ่ายกุมอำนาจนำในพรรคก็ช่วยอะไรไม่ได้
พวกที่ยึดติดกับการอุปโลกน์ข้อกล่าวหา วาทกรรมที่สาดโคลนฝ่ายตรงข้าม ยังคงท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง พูดเพื่อชี้ชวนให้คนคล้อยตาม ประเภทเอาดีเข้าตัวโยนชั่วให้คนอื่น มันขายไม่ได้กับโลกยุคโซเซียลมีเดียแล้ว ความจริงก็คือ ภัยต่อความมั่นคงของอำนาจที่ทรงพลัง ไม่ได้อยู่ที่อำนาจของฝ่ายการเมืองที่เคยกล่าวหา โจมตีกันในช่วงของการปลุกระดมสร้างความเกลียดชัง หากแต่ความอ่อนไหวมันอยู่ที่การปล่อยให้พวกสุดโต่งขยับเข้าใกล้ และได้กุมอำนาจบริหารในที่สุด
ดังนั้น การจับไม้จับมือกันของพรรคการเมืองอย่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ จึงไม่ใช่แค่สลายความขัดแย้ง ลืมความบาดหมางที่เคยมีต่อกันมาในอดีตเท่านั้น หากแต่มันคือการใช้กลไกของอำนาจบริหาร หวังสร้างผลงานทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ประชานิยมฉายเดี่ยวหวังผลแลนด์สไลด์เหมือนในอดีต รอบนี้ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลต้องช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายให้ประสบผลสำเร็จ แล้วเคลมเป็นผลงานร่วม ทำให้เกิดศรัทธา เชื่อมั่น หวังให้ส่งผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า
แน่นอน ทุกพรรคโดยเฉพาะเพื่อไทยย่อมหวังถึงการทวงคืนความยิ่งใหญ่ แต่เป้าหมายรวมคือ ทำยังไงก็ได้ให้คะแนนที่ออกมา ฝ่ายค้านสุดโต่งจะต้องไม่ชนะแบบตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ นั่นคือความอันตรายที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ทำให้เห็นว่า ทุกความเคลื่อนไหวของนายใหญ่ ณ ปัจจุบัน จึงไร้แรงต่อต้าน จากกลุ่มคัดค้านที่เคยขับเคลื่อนในอดีต บทเรียนราคาแพงมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ หลังรัฐประหารหนล่าสุด ดูเหมือนไม่เสียของที่ทำลาย กดทับเพื่อไทยได้ แต่กลับเกิดสิ่งใหม่ที่เป็นอันตรายต่อฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างคาดไม่ถึง
รายชื่อ ครม.แพทองธาร 1 แม้จะยังไม่นิ่ง แต่ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทุกอย่างจะจบภายในสัปดาห์นี้ ตามที่ ภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ฐานะผู้จัดการรัฐบาลยืนยันว่า น่าจะได้ ครม.ชุดใหม่ภายในวันที่ 15 กันยายนนี้ ความจริงรายละเอียดเรื่องไทม์ไลน์ต่าง ๆ ที่อยู่ในมือบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยนั้น พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายน่าจะได้รับด้วยเหมือนกัน เพราะนั่นเป็นรายละเอียดของช่วงเวลาที่ระบุไว้ชัดเจนว่าจะประชุม ครม.นัดแรกได้เมื่อไหร่
กรณีของรายชื่อบุคคลที่แต่ละพรรคได้เสนอมานั้น ต่างยอมรับกันว่า หลายพรรคมีการส่งชื่อมาเผื่อเหลือเผื่อขาด เพราะตามดุลยพินิจใหม่ที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความคำว่าจริยธรรมไว้นั้น เสี่ยอ้วนมองว่า “กว้างมาก” ทำให้ต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติกันอย่างเข้มข้น หากสำนักเลขาธิการ ครม. และคณะกรรมการกฤษฎีกาฟันธงมาว่า บุคคลนั้นคุณสมบัติยังคลุมเครือก็จำเป็นที่จะต้องดึงชื่อออก แล้วให้ชื่อสำรองที่ส่งมาขยับเป็นแทน แต่ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนตัวอย่างไร ในส่วนของโควตา เก้าอี้ของแต่ละกระทรวงนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
อรชุน