พาราสาวะถี
การชิงไหวชิงพริบทางการเมือง ถือเป็นตำราที่น่าศึกษาในทุกยุคทุกสมัย หลังการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ผู้นำหญิงคนที่ 2 ของไทย
การชิงไหวชิงพริบทางการเมือง ถือเป็นตำราที่น่าศึกษาในทุกยุคทุกสมัย หลังการขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ผู้นำหญิงคนที่ 2 ของไทย และเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองบ้านเรา กระบวนการทุกอย่างตั้งแต่การโหวตในสภา กระทั่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ดูเหมือนว่า จะทำให้การตั้งรัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร น่าจะทำได้เร็ว ราบรื่น เรียบร้อย และสามารถสตาร์ตทำงานได้ทันที กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด
เหตุผลประการหนึ่งที่ยังไงก็ต้องช้า นั่นก็คือมาตรฐานทางจริยธรรมตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่วางไว้กว้างมาก ทำให้ต้องมีการคัดกรอง ตรวจสอบประวัติผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อกันเข้มข้น เดิมทีแค่กรอกเอกสาร สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีใช้เวลาเต็มที่ไม่เกิน 3 วันจบ แต่หนนี้คาดหมายว่าน่าจะ 1 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ยังไงก็ต้องเคาะรายชื่อกันให้จบ ปมที่ถูกจับตามองกันมากที่สุดหนีไม่พ้น ความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาลจะเลือกตัดจบแบบไหน
การวางบิลทวงถามด้วยหนังสือของพรรคสืบทอดอำนาจไปยังอุ๊งอิ๊ง เรื่องเอกสารกรอกประวัติของ พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ คือหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า รอยร้าวระหว่างคนบ้านในป่าที่มีสถานะหัวหน้าพรรค กับ ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่มีหัวโขนเลขาธิการพรรคนั้น มันแตกละเอียดยากที่จะประสานได้แล้ว และดูเหมือนพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ก็คงจะรู้ชะตากรรมตัวเองและพวกที่เลือกจะเดินไปด้วยกัน จึงต้องดำเนินการในลักษณะเช่นนี้
แต่อย่าคิดว่าพฤติกรรมแบบนี้ช่างไม่รู้สึกกระดากอะไรบางหรือไร อยากเป็นรัฐมนตรีถึงขนาดทวงถามกันผ่านสื่อ หรือเป็นเพียงแค่แอ็กชันเพื่อสร้างหลักฐานสำหรับการเอาผิดในอนาคต เพราะการอ้างว่ามีการประสาน พูดคุยและตกลงกันแล้วเรื่องที่จะโหวตให้แพทองธาร นั่นคือบุญคุณที่ต้องได้รับการตอบแทน ทั้งที่ความจริง เป็นที่รับรู้ในวงกว้างไม่จำเป็นต้องทางลับหรือเฉพาะคนในแวดวง คนทั่วไปก็เข้าใจกันได้ว่า มือประสานที่ทำงานร่วมกับเพื่อไทยมาโดยตลอดเป็น ผู้กองมันคือแป้ง นั่นเอง
การเดินหมากเกมนี้ของคนบ้านในป่า โดยอาศัยความช่ำชองทางด้านกฎหมายของ ไพบูลย์ นิติตะวัน บีบให้เพื่อไทยยอมจำนน กดดันให้นายกฯ เลือกโผที่เป็นมติพรรค มิเช่นนั้น จะสุ่มเสี่ยงไปถึงขั้นยุบพรรค ทว่าฝ่ายพรรคแกนนำที่พรรคถูกยุบมาถึงสองรอบแล้ว ได้ประเมินข้อกฎหมายในกรณีของการตั้งรัฐบาลมาเป็นอย่างดีแล้ว มองไปในทางเดียวกับที่ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ให้สัมภาษณ์ไว้ การจะเลือกใครมาเป็นรัฐมนตรีเป็นอำนาจของนายกฯ แต่เพียงผู้เดียว
การอ้างว่ามติพรรคออกมาแบบนี้ และมีข้อตกลงกันก่อนจะโหวตเลือกอุ๊งอิ๊งว่าแต่ละพรรคร่วมรัฐบาลจะได้เก้าอี้กี่ตำแหน่งนั้น ไม่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ยืนยันในหลักการมาแล้วจาก ภูมิธรรม เวชยชัย ผู้จัดการรัฐบาล นายกฯ สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุน และยกมือให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียงที่ยกมือสนับสนุนจะต้องมาเป็นรัฐบาล จะต้องมีโควตา พร้อมยกตัวอย่างประกอบ เช่น พรรคไทยสร้างไทย ที่ สส.ทั้ง 6 คนของพรรคโหวตหนุนอุ๊งอิ๊ง จะมาบอกว่าจะได้รัฐมนตรีช่วย 1 คน อันนี้ไม่เกี่ยวกัน
จะเรียกว่าหักดิบกันดื้อ ๆ ก็คงไม่แปลก เพราะฝ่ายที่เสียประโยชน์ย่อมจะแย้งว่า แล้วทำไมพรรคอื่นที่ไปตกลงกันจึงได้ตามที่ขอ คำตอบมันก็มีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับนายกฯ เป็นผู้ตัดสินใจ หากเห็นว่าบุคคลใดที่มีความรู้ ความสามารถ ก็สามารถเชิญมาเป็นรัฐมนตรีได้ โดยไม่ต้องมีเสียงในสภาเลยก็สามารถทำได้ ต้องเข้าใจกระบวนการตรงนี้ให้ถ่องแท้ นายกฯ หลังได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการพิจารณาว่าจะเลือกใครก็ได้ เสียงที่ยกมือให้จะเลือกหรือไม่เลือกก็ได้
การที่แต่ละพรรคการเมืองจะเข้าร่วมรัฐบาลหรือส่งชื่อคนที่จะเป็นรัฐมนตรี ต้องเป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ก็เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะเสนอใคร หรือไม่เสนอใคร แต่การเลือกคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี เป็นเรื่องของนายกฯ และเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ แต่เพียงผู้เดียวหลังจากแต่งตั้งบุคคลใดไปแล้ว การถูกตัดสินให้กระเด็นจากเก้าอี้ของ เศรษฐา ทวีสิน คือตัวอย่างอันชัดเจน ดังนั้น จะเอาคนใน คนนอก ทำได้ทั้งนั้น ขอแค่คุณสมบัติไม่มีปัญหาเป็นใช้ได้
เห็นอาการดิ้นจากพรรคของคนบ้านในป่า คงจะสร้างความสะใจให้กับนายใหญ่ไม่น้อย เช่นเดียวกันกับการดึงประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาล เหมือนการได้ตบหน้าบรรดาจอมหลักการ พวกแผ่นเสียงตกร่องบางรายได้อย่างสาแก่ใจเป็นที่สุด ว่ากันว่า การขับเคลื่อนการเมืองหน้าฉากที่เห็นผ่านแพทองธาร และ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อนั้น มันคือท่วงทำนองที่จะต้องก้าวย่างไปแบบนี้ แต่เพื่อการันตีว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง หลังฉากหญิงแกร่งอันเป็นที่รักของนายใหญ่เดินสายประสานสิบทิศ เพื่อไม่ให้ลูกสาวคนเล็กของตระกูลต้องตกเผชิญอยู่กับชะตากรรมที่ผู้เป็นพ่อและอาเคยโดนมาแล้ว
ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร สำหรับพวกจ้องที่จะเล่นงานยังคงหาเรื่องได้ตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากจะมีใครต่อใคร ไปยื่นร้ององค์กรอิสระต่าง ๆ ให้เอาผิดแพทองธาร หรือทักษิณ เพื่อกระทบชิ่งไปยังรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย อย่างที่บอกหากเป็นคนที่เหลิงอำนาจ มั่นใจมากเหมือนอดีตคงจะทำให้คนในพรรคนายใหญ่ตื่นตระหนกกันเป็นอย่างมาก เมื่อมีการปรับตัว และได้รับแรงหนุนที่แข็งแกร่งจึงทำให้ไม่หวั่นไหวต่อความเคลื่อนไหวที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพของอุ๊งอิ๊งทั้งที่ยังไม่ได้เห็นโฉมหน้า ครม.
อรชุน