พาราสาวะถี
หากย้อนกลับไปช่วงของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อไทยจับมือประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล ทุกเสียงต้องบอกไปในทิศทางเดียวกัน “บ้าไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้”
หากย้อนกลับไปช่วงของสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง เพื่อไทยจับมือประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาล ทุกเสียงต้องบอกไปในทิศทางเดียวกัน “บ้าไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้” แต่มายุคนี้มันเกิดขึ้นจริง นั่นเป็นเพราะอนาคตข้างหน้าเป็นตัวบังคับ หากยังแยกกันเดินหรือขัดแย้งกันไม่รู้จบ พรรคที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดก็จะพากันเดินไปสู่หายนะ เห็นกันอยู่ว่ารัฐประหารสองหนในรอบ 8 ปี จากเสียของตั้งป้อมแต่จะทำลายระบอบทักษิณ สุดท้ายกลายเป็นเสียหายหนัก ทำให้พรรคสุดโต่งเติบใหญ่ น่ากลัวกว่าระบอบอุปโลกน์ที่สร้างวาทกรรมกันขึ้นมา
แน่นอนว่า บรรดากองเชียร์พวกไม่ลืมหูลืมตาทั้งสองฝ่าย ย่อมจะติดใจต่อการจูบปากกันครั้งนี้ ทั้งที่สู้กันมาผ่านการบาดเจ็บ ล้มตายของฝ่ายสนับสนุนไม่น้อย แล้วทำไมจึงเลือกที่จะจบแบบหักมุมเช่นนี้ ต้องเข้าใจว่า ฝ่ายหนึ่งเป็นพวกโบกมือดักกวักมือเรียกให้เกิดรัฐประหาร เพื่อหวังที่จะได้รับอานิสงส์จากความเปลี่ยนแปลง แต่กลับเลวร้ายกว่าเดิม ผ่านเลือกตั้งหลังรัฐประหารสองหน จากพรรคเกินร้อยกลายเป็นพรรคเล็กไปเสียฉิบ ขณะที่อีกฝ่ายถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนการเลือกตั้งภายใต้อำนาจรัฐบาลเผด็จการ คสช. ชนะเลือกตั้งแต่ไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล
สรุปคือบนเส้นทางถนนของความขัดแย้งเกือบ 20 ปี ไม่มีใครได้ประโยชน์ เพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลสองหนในนามพลังประชาชนยุค สมัคร สุนทรเวช ต่อเนื่อง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนถึงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ถูกฝ่ายต่อต้านล้มไม่เป็นท่า นั่นเป็นเพราะถูกมือที่มองไม่เห็นเล่นงานอย่างหนัก ไม่ต่างจากประชาธิปัตย์จากที่ถูกมองว่าอิงแอบกับอำนาจนอกระบบมาโดยตลอดเพื่อหวังโค่นพรรคนายใหญ่ ท้ายที่สุดเหมือนถูกหลอกใช้ คนที่ตั้งต้นใช้ความเป็นประชาธิปัตย์ไปเคลื่อนไหวรับประโยชน์กันไปเต็ม ๆ ก่อนจะพากันทิ้งพรรคไปเสวยสุขกันสบายใจเฉิบ
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากน้ำมือของขบวนการสุมหัวที่สร้างปัญหา แต่ไม่ยอมเข้ามาแก้ไข ก็เป็นเรื่องของพรรคการเมือง และนักเลือกตั้งที่ไม่สุดโต่ง ต้องหันหน้าเข้าหากัน เบื้องต้นหนีไม่พ้นต้องช่วยกันกอบกู้วิกฤตของประเทศที่กำลังเผชิญให้พลิกฟื้นกลับคืนมาให้ได้ก่อน หลังจากนั้น ต้องช่วยกันมองไปถึงปัญหาที่ได้รับโจทย์จากอำนาจทรงพลัง ทำอย่างไรไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามชนะเลือกตั้งเพื่อเข้าสู่อำนาจบริหารแบบรัฐบาลพรรคเดียว
ด้วยโจทย์ที่รับมาแบบนี้ กับกติกาที่วางไว้คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมาจากแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่มี สส.ไม่น้อยกว่า 25 คนในสภาเท่านั้น จึงไม่มีทางเลือกอื่น พรรคที่จับมือกับพรรคซึ่งมีเสียง สส.มากกว่าต้องได้รับสิทธิในการให้คนของตัวเองเป็นผู้นำประเทศไป ส่วนพรรคที่เหลือก็ต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกันตามจำนวนเสียง สส.ที่มี ช่วยกันประคับประคองให้รัฐบาลมีเสถียรภาพอยู่จนครบเทอม ควบคู่ไปกับการวางแผนในการขับเคลื่อนงานการเมืองเพื่อหวังผลถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไป
เมื่อมองอย่างเข้าใจบริบทความเป็นไปของการเมือง ณ ปัจจุบัน ย่อมถอดรหัสของสูตรการตั้งรัฐบาลแบบนี้ได้ไม่ยาก ดีลพิเศษตั้งแต่เกิดรัฐบาลพลิกขั้ว การเขี่ยพลังประชารัฐในซีกของคนบ้านในป่าที่มีฐานะหัวหน้าพรรคเป็นฉากทัศน์ทางการเมืองที่ถูกวางไว้อยู่แล้ว เพราะพรรคแกนนำอ่านเกมกันไว้แล้วว่า ยังมีความพยายามที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง เพื่อหวังส้มหล่นให้ตัวเองได้สมหวังในเก้าอี้ผู้นำประเทศ เป็นเกียรติประวัติครั้งหนึ่งในชีวิต
แต่สถานการณ์จากกระแสแรงของพรรคสีส้ม มันทำให้ฝ่ายที่ถูกสั่นคลอนหากจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินยอมไม่ได้ บรรดาแกนนำพรรคการเมืองซีกรัฐบาลจึงได้รับคำสั่งมาในทิศทางเดียวกัน ปมที่บรรดาคนเก่าแก่ ตัวเก๋าของพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่า หากจับมือกับเพื่อไทยแล้วจะกระทบต่อฐานเสียงในพื้นที่ภาคใต้นั้น ก็เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวที่ยังไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ทั้งที่ ฐานที่มั่นซึ่งเคยประกาศว่าส่งเสาไฟฟ้าลงแข่งยังชนะนั้น มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม วัฒนธรรมองค์กรความเป็นประชาธิปัตย์สไตล์ ยังคงมีให้เห็นหลังที่ ก่อแก้ว พิกุลทอง สส.ปาร์ตี้ลิสต์เพื่อไทย ออกมาซัด 3 ผู้เฒ่าของพรรคเก่าแก่ที่ขวางการเข้าร่วมรัฐบาล “เป็นไม้แก่ดัดยาก” บรรดา สส.และอดีต สส.ของพรรค ที่อยู่กันคนละขั้ว ต่างพร้อมใจกันออกมาตอบโต้แทนในฐานะปูชนียบุคคลของพรรค นั่นก็เป็นเพียงแค่การรักษาน้ำใจปกป้องบุคคลที่สมาชิกพรรคให้ความนับถือ แต่ถ้าเคารพ เชื่อฟังกันจริง ต้องไม่ไปร่วมรัฐบาล นี่แหละการเมืองที่แท้จริงเปรียบเป็นละครมันต้องมีฉากตบ จูบ ผิดใจ สุดท้ายก็กลับมาจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง บอกแล้วว่า ถึงเวลาที่ต้องจับมือกันโดยไม่มีทางเลี่ยงได้
ส่วนกลุ่มก๊วนของคนบ้านในป่า หลังจากที่ให้บรรดานักร้องทำงานตามหน้าที่ “มือกฎหมายเทวดา” ไพบูลย์ นิติตะวัน ไปงัดเอากฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาขู่นายกฯ แพทองธาร การไม่มีพลังประชารัฐร่วมรัฐบาลถือเป็นการผิดคำมั่น ไม่ทำตามสัญญาประชาคม เสี่ยงขาดคุณสมบัติ เหตุไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์ รอดูต่อว่าจะไปจบตรงไหน แต่มาถึงตรงนี้ทำได้แค่ “แยกเขี้ยวขู่” เพราะฝ่ายที่เข้าสู่อำนาจต่างพากันมองไปข้างหน้า มุ่งไปสู่เป้าหมายที่ถูกขีดเส้นให้ต้องทำตามไว้ร่วมกันแล้ว
วันนี้ (30 สิงหาคม) อุ๊งอิ๊งมีกำหนดการลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนและตามสถานการณ์น้ำท่วมที่สุโขทัย แต่นั่นไม่ใช่ไฮไลต์ เพราะเจ้าตัวเกริ่นไว้แล้วว่า จะมีการให้สัมภาษณ์เรื่องการเมืองที่นักข่าวอยากรู้ ถ้าพิจารณาจากไทม์ไลน์ ก็หมายความว่า รายชื่อ ครม.น่าจะจบกันในวันนี้ และภายในไม่กี่วันทุกอย่างก็จะเดินตามกระบวนการเสร็จสิ้น ประกอบร่างเป็นรัฐบาลแพทองธาร 1 เป็นที่เรียบร้อย ย้ำกันอีกครั้งหากไม่มีอุบัติเหตุอันใด ปฏิทินที่เพื่อไทยวางไว้นั้น ครม.ชุดใหม่จะได้ประชุมกันภายในวันที่ 17 กันยายนนี้ รอฟังบทสัมภาษณ์จากนายกฯ น่าจะเห็นแนวโน้มชัดเจนขึ้นว่า เป็นไปตามนั้นหรือไม่
อรชุน