GU..ว่าแล้ว!

ถ้าดูสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยเป็นซีรีส์ตามที่ “โมนิก้า” ไล่มาเป็นช็อต ๆ จะเห็นว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังต้องพึ่งพิงแรงซื้อที่มาจากต่างชาติเป็นหลัก


ถ้าดูสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยเป็นซีรีส์ตามที่ “โมนิก้า” ไล่มาเป็นช็อต ๆ จะเห็นว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยยังต้องพึ่งพิงแรงซื้อที่มาจากต่างชาติเป็นหลัก เนื่องจากกองทุนในประเทศยังทำตัวพลิ้วไหวไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้การจะไปต่อแบบแข็งแกร่งต้องผ่านกระบวนการเทสแรงขายให้สะเด็ดน้ำเสียก่อน เดี๊ยนถึงให้ความสำคัญกับท่าทีของนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวมากเป็นพิเศษไงล่ะคะ

ที่สำคัญหากประเมินจากการขึ้นของดัชนีเกือบ 100 จุด และต้องมาเจอกับการย่อตัวสักประมาณ 30 จุด ก็เป็นเรื่องที่อีฉันรับได้ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นต้องดูว่า แรงซื้อของต่างชาติยังมีเข้ามาต่อเนื่องไหม? รวมทั้งกองทุนจะเข้าไปช้อนหุ้นตรงจุดนัดพบบริเวณ 1,340 จุดไหม? เพราะตรงนี้จะเป็นตัวบอกเล่าเรื่องราวว่า ดัชนีควรจะ “ได้ไปต่อ” หรือ “พอแค่นี้” ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ต้องติดตามดูกันต่อไปจ้า!

เฉกเช่นเดียวกับเรื่องการเมืองที่เริ่มกลับมามีความวุ่นวาย ก็เป็นเรื่องที่ต้องสาปแช่งบรรดานักการเมืองวัยแย้มฝาโลงทุกฝ่ายว่า เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวกันทั้งนั้น อีตาที่เหลิงอำนาจก็เจ้ากี้เจ้าการว่า คนนั้นได้ตำแหน่ง..คนนี้ได้ตำแหน่ง ส่วนอีตาที่หยุมหัวก็กระสันไม่เลิกเสียที และจ้องเล่นงานทางกฎหมายทุกมุม ส่วนเจ้าเด็กน้อยก็ไม่ยอมโตสักที และชอบร้องงอแงอยู่ร่ำไป (ไม่สนใจเรื่องเศรษฐกิจเลย) ส่งผลให้หลายอย่างดูอึมครึมอีกครั้งพะย่ะค่ะ

สรุปสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่อุบาทว์ทั้งหมดทุกฝ่าย เพราะไอ้คำว่าทำเพื่อประชาชนนั้น มันไม่เคยมีอยู่ในกมลสันดานของคนที่บ้าอำนาจเลยสักตัว วันนี้ถึงมีเรื่องร้องเรียนกันฝุ่นตลบ และการที่ดัชนีทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,357.41 จุด ลบไป 8.31 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.53 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนที่เป็นกองทุนขายออกมาอีก 120 ล้านบาท จึงเหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดว่า นกรู้ตัวจริงนะจะบอกให้

เหมือนกับสถานการณ์ของหุ้น BTS ที่หลายคนรับรู้ว่า ราคาหุ้นยังไปได้อีก แต่ในเมื่อบรรยากาศการลงทุนไม่เป็นใจ ก็ไม่มีใครอยากนอนกอดหุ้นไปนาน ๆ บวกกับคนส่วนใหญ่ยังกังวลเกี่ยวกับเรื่องหมดสัมปทาน วานนี้จึงเห็นราคาหุ้นอ่อนตัวลงเป็นวันที่ 2 พร้อมกับยืนปิดที่ระดับ 4.28 บาท ลบไป 0.06 บาท หรือลงไป 1.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 175 ล้านบาท เลยกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำใจจ้า!

เช่นเดียวกับในรายของ IVL อุตส่าห์ไต่เพดานขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อความมั่นคง แต่ในช่วง 2 วันนี้ ดันเกิดอาการอ่อนระทวยขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับลงมายืนปิดที่ระดับ 18 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 2.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 406 ล้านบาท จึงกลายเป็นช็อตที่ทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ที่ว่า ในเมื่อประเทศผู้นำเข้าปิโตรเคมีรายใหญ่อย่างจีน หันมาใช้ปิโตรเคมีในประเทศของตัวเอง แล้วผู้ผลิตรายอื่น ๆ ในโลกจะอยู่อย่างไรจ๊ะ

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงหุ้นโลจิสติกส์รายใหญ่อย่าง SJWD ขึ้นมาทันที เพราะในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการ เพราะการได้ปูนใหญ่เข้ามาผนึกกำลัง เพื่อลุยธุรกิจขนส่งแบบสุดซอย ซึ่งตอนนั้นเชื่อกันว่า แค่ส่งสินค้าภายในเครือก็โตระเบิด แต่เหตุไฉนราคาหุ้นถึงไม่ตอบรับข่าวดีดังกล่าวเหมือนช่วงแรก ๆ เดี๊ยนเลยสงสัยว่า การลงมายืนปิดที่ 10.70 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.95% ด้วยวอลุ่มที่แห้งเหือด..เกิดจากอิหยังวะ

ส่วนรายที่เสื่อมมนต์ขลังมันนี่เกมอย่างพ่อดอกมะลิ JAS ก็กลายเป็นกรณีศึกษาที่ทำให้นักลงทุนเข้าใจหุ้นประเภทนี้มากขึ้นว่า ถ้าหุ้นไม่ได้ขึ้นด้วยปัจจัยพื้นฐาน ก็ต้องเล่นแบบตีหัวเข้าบ้านอย่างเดียว และการที่หุ้นซึมกระทือเป็นเดือน ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 2.56 บาท ลบไป 0.06 บาท หรือลงไป 2.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 148 ล้านบาท ก็มีความหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว..เดี๊ยนเลยไม่ต้องฝอยให้เหม็นขี้ฟัน..อิอิอิ

ตบท้ายด้วยหุ้นร้อนที่มาแบบเหนือคาดหมายอย่าง TAKUNI กันดีกว่า เพราะโมเดลธุรกิจที่พรายกระซิบเม้าท์ให้ฟัง น่าจะเป็นแค่เพียงฝนห่าเดียว และการขึ้นของหุ้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ “เสี่ย.ภ” กำลังพยายามต่อยอดธุรกิจ เพราะเสี่ยคนดังกล่าวกำลังยุ่งกับปัญหาชีวิต “โมนิก้า” จึงอยากให้นักเล่นพึ่งสังวรณ์ไว้นิดหนึ่งว่า การยืนปิดที่ระดับ 1.27 บาท บวกไป 0.13 บาท หรือขึ้นไป 11.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 246 ล้านบาท อาจไม่ใช่เกมยาวนะตัวเอง

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button