3 ธีมลงทุนรับกำไรบจ.โตครึ่งหลังปี 67

บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โชว์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง


เส้นทางนักลงทุน

บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โชว์ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง โดยบจ.ใน SET มียอดขายเพิ่มขึ้น 8.4% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 มียอดขายรวม 8,964,883 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงาน 922,736 ล้านบาท เติบโต 19% จาก 777,656 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 519,312 ล้านบาท เติบโต 10% จาก 473,415 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ

บจ.มีต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 4.9% และ 6.0% ทั้งนี้ฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 มิถุนายน 2567 บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ในระดับคงที่ที่ 1.51 เท่า

บจ.ภาคธุรกิจการบริการและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว มีกำไรดีขึ้น เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค โรงแรม การบิน พื้นที่เช่า ค้าปลีก โรงพยาบาล และโทรคมนาคม

อีกทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ธุรกิจน้ำมันปรับดีขึ้น เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ในครึ่งแรกของปี 2567 บจ.มีอัตรากำไรจากการดำเนินงานและกำไรสุทธิเติบโตได้ดี อย่างไรก็ตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างได้รับผลกระทบจากปริมาณงานภาครัฐและเอกชนที่ลดลง

ด้านผลการดำเนินงานของบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) งวด 6 เดือนแรกปี 2567 มียอดขายรวม 104,296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.7% ขณะที่ต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารควบคุมได้ดี ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 8,352 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.8% และ 80.5% ตามลำดับ แต่หากไม่นับรวมบจ. 5 อันดับแรก ที่มีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นจากการ Turn around กำไรสุทธิจะเป็น 4,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8%

ในงวดไตรมาส 2 ที่ผ่านมา กำไรปกติของบจ.ใน SET หลายกลุ่มอุตสาหกรรมออกมาเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะแรงกดดันด้านต้นทุนลดลงตามภาวะเงินเฟ้อที่ลดลง

ทั้งนี้ ในไตรมาสดังกล่าว โดยภาพรวมถือว่ามีความเสี่ยงด้านอุปสงค์ (demand side) เนื่องจากมีสัญญาณชะลอตัวลง จากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ชะลอตัวกว่าที่คาด

นอกจากนี้ ความล่าช้าของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการแจกเงินดิจิทัล หรือ digital wallet ทำให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับสูง ตลอดจนการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ (bond) ยังเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในบริษัทขนาดกลาง-เล็ก ทำให้ต้นทุนทางการเงินยังอยู่ในทิศทางเพิ่มขึ้น กดดันให้บริษัทส่วนใหญ่ยังชะลอการลงทุน และเน้นการบริหารสภาพคล่องเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 มีความหวังว่าแนวโน้มกำไรของบจ.น่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผ่านมา

โดยบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ประเมินว่า ทิศทางผลการดำเนินงานของบจ.ในงวดไตรมาสที่ 3 และ 4 นี้ กำไรสุทธิน่าจะยังถูกขับเคลื่อนจากความคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการ digital wallet ที่คาดเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณในเดือนกันยายน 2567 เป็นต้นไป เพื่อทำให้เกิดการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค, ลดค่าครองชีพ ซึ่งบจ.ที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจะยังเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ก่อน

ในขณะที่แผนกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ยังทำต่อเนื่องและความชัดเจนของการลงทุนในเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (entertainment complex) น่าจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชนในอนาคต

ขณะเดียวกัน ต้นทุนพลังงาน, ต้นทุนค่าไฟฟ้า รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยที่เริ่มคงที่น่าจะช่วยส่งผลต่อเปอร์เซ็นต์อัตรากำไรให้ทรงตัว หรือทยอยดีขึ้น ตามลำดับ

ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จึงแนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ปีนี้ โดยให้น้ำหนักการลงทุนใน 3 ธีม ประกอบด้วย

  1. กลุ่มเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลักภายใต้การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพิ่มเติม
  2. กลุ่มเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ
  3. กลุ่มมีปัจจัยบวก หรือ turnaround story เฉพาะตัว

โดยเลือก กลุ่มพาณิชย์, กลุ่มธนาคาร, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มสื่อสารและกลุ่มเกษตรและอาหาร เป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน สำหรับหุ้น TOP PICKS ได้แก่ CPALL, KTB, MINT, TRUE และ CPF

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงต่อไปมีทิศทางที่ดีขึ้น สนับสนุนด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงขึ้นจน TURNOVER มากกว่า 70% ต่อปี ขณะที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า และเงินทุนต่างชาติ หรือ FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้าต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้แรงหนุนจาการจัดงาน THAILAND FOCUS

โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นใน 3 ธีมที่แนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จะเติบโตโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับทั้งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้และในงวดเดียวกันปีก่อน รวมทั้งยังเป็นหุ้นที่จะดัก FUND FLOW ประกอบด้วย

1.หุ้นปรับตัวลงลึกหวังฟื้นเร็ว คือ SCC, IVL, CRC, SCGP, BGRIM, HMPRO

2.หุ้นพื้นฐานเด่นแกร่งกว่าตลาด คือ PLANB, MTC, BH, GULF, CPAXT

3.หุ้นรับกระแสฝนตกหนัก คือ BCH, TASCO, CKP

และนี่คือธีมการลงทุนที่โบรกเกอร์แนะนำเพื่อให้สอดรับกับกำไรบจ.ที่จะเติบโตมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นี้

Back to top button