ฝรั่งเปลี่ยนใจ?

ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยกำลังจะดีขึ้นทีไร มักมีเรื่องให้นักลงทุนสาดหุ้นทิ้งเป็นประจำเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะ “มึนๆ งงๆ”


ทุกครั้งที่ตลาดหุ้นไทยกำลังจะดีขึ้นทีไร มักมีเรื่องให้นักลงทุนสาดหุ้นทิ้งเป็นประจำเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะ “มึนๆ งงๆ” อีกพักใหญ่ เพราะตลาดหุ้นหันมาให้ความสำคัญกับข่าวร้าย และทำให้นักลงทุนบางส่วนเริ่มชะลอการลงทุน หลังมองการพักตัวเที่ยวนี้จะตามมาด้วยการเขย่าแรง ๆ เลยอยากรอดูดัชนีจะอ่อนตัวลงไปถึงแนวรับสำคัญบริเวณ 1,340 จุดอ๊ะป่าว?

ฉะนั้นการที่ดัชนีย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,353.64 จุด ลบไป 5.43 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.31 หมื่นล้านบาท น่าจะเป็นภาพที่บอกเล่าเรื่องราวความไม่สบายใจได้เป็นอย่างดี และตรงจุดนี้ก็ทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันมาดูทีท่าของต่างชาติเป็นลำดับแรก เพราะเป็นนักลงทุนที่มีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเกิน 50% ส่วนนักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 35% ส่วนพระเอกที่จะช่วยดันตลาดหุ้นไทยอย่างกองทุนกลับมีสัดส่วนไม่ถึง 10% นะตัวเอง

ประกอบกับตัวเลขขายสุทธิเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาปาเข้าไป 3.18 พันล้าน ขณะที่วานนี้ขายออกมาอีก 1.47 พันล้าน ทั้งที่หลายคนมองเหมือนกับเดี๊ยนว่า น่าจะมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น เพราะการลดดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้มีการโยกเงินล็อตใหญ่มาที่ตลาดหุ้นไทย..น่าเสียดายที่เหตุการณ์ ณ เวลานี้ไม่ได้เป็นเหมือน 3 สัปดาห์ก่อน เพราะนักลงทุนต่างชาติเปลี่ยนทีท่าไปจากเดิมแบบไม่ให้อิฉันตั้งตัวเลยพับผ่าสิ!

โดยเฉพาะในรายของพี่เทพ PTTEP ก็ถูกรินขายออกมาเรื่อย ๆ ทั้งที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถูกมาก! แต่ยังมีแรงขายออกมาประปรายตลอดเวลา จนวานนี้ลงมายืนปิดที่ระดับ 140 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.04 พันล้านบาท และกลายเป็นไฟต์บังคับให้หุ้นเด้งกลับในวันนี้ เพราะถ้ายังซึมลงอีกเรื่อย ๆ จะเป็นการเคลื่อนตัวแบบไซด์เวย์ดาวน์แทนที่การเคลื่อนตัวแบบวีเชฟน่ะซี

ประเด็นข้างต้นคล้ายกับสถานการณ์ของหุ้น BTS ซึ่งเป็นหุ้นที่เดี๊ยนเม้าท์ถึงบ่อยมากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เพราะในช่วงต้นเดือนไต่ระดับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง พร้อมกับข่าวดีในมุมต่าง ๆ ออกมาเยอะแยะไปหมด แต่พอถึงช่วงสิ้นเดือนดันกลายเป็นหนังคนละม้วน เพราะราคาหุ้นซึมลงเรื่อย ๆ จนวานนี้ยืนปิดที่ระดับ 4.12 บาท ลบไป 0.12 บาท หรือลงไป 2.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 407 ล้านบาทแบบนี้..เกิดอิหยังขึ้นเจ้าคะ

ส่วนรายที่โดนข่าวร้ายเล่นงานเต็ม ๆ จนหาทางกลับบ้านไม่เจออย่าง OSP กลายเป็นช็อตที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องกลับไปคิดเป็นการบ้านยามดึกเสียแล้ว เพราะการทิ้งตัวลงพรวดพราดก่อนจะปิดไปที่ระดับ 20.90 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 6.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 786 ล้านบาท พร้อมกับข่าวปิดโรงผลิตขวดแก้วที่พม่า เพราะทนพิษขาดทุนต่อไปไม่ไหวแบบนี้..เจ็บแต่จบใช่ไหม? หรือเจ็บแล้วไม่จบ?..ใครรู้ช่วยบอกทีจ้า!

อีกกรายที่ “เจ็บแล้ว เจ็บอีก เจ็บต่อ” คงไม่มีใครเกินไปกว่า EA เพราะการที่แผนเพิ่มทุนของ NEX สะดุดขึ้นมาแบบนี้ มันส่งผลกระทบต่อ “ตัวแม่” และ “ตัวลูก” อย่างมีนัยสำคัญ แต่พอเหลือบดูคำอธิบายของที่ปรึกษาการเงินอิสระบอกในทำนอง ราคาขายเพิ่มทุนต่ำกว่ามูลค่ากิจการ จึงประกาศยกเลิกเพิ่มทุนชนิดที่ทุกคนงงกันเป็นแถว และราคาหุ้นก็ตอบรับด้วยการลงมาปิดที่ 6.30 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 4.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.54 พันล้านบาทพะย่ะค่ะ

ส่วนรายที่ราคาหุ้นดีดตัวแบบเว่อร์วัง และกลายเป็นช็อตที่ทำให้เดี๊ยนงงงวย คงต้องมองไปที่หุ้น IVL แบบไม่มีข้อแม้ เพราะเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 18.40 บาท บวกไป 1.30 บาท หรือขึ้นไป 7.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.70 พันล้านบาท มันเกิดจากข่าวที่เม้าท์กันให้แซ่ดว่า ไตรมาส 3 พลิกกำไร! ทั้งที่ก่อนหน้านี้มองไปในทางเดียวกันว่า ปี 67 ยังอยู่ในสถานการณ์สาหัส เดี๊ยนเลยมองว่า เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้..อิอิอิ

ไหน ๆ ก็เม้าท์เรื่องเซอร์ไพรส์ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” จึงขอต่อที่หุ้น CPR กันดีกว่า เพราะถ้าดูจากการทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยางประกอบรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ก็จะเห็นตัวเลขกำไรที่ทำได้แต่ละงวดไม่หวือหวา เดี๊ยนจึงไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นปิดที่ระดับ 3.84 บาท บวกไป 0.44 บาท หรือขึ้นไป 12.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 129 ล้านบาท เพราะสิ่งที่อธิบายได้มีแค่คำว่า “พวกมาก..ลากไป” นะจ๊ะ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button