พาราสาวะถี

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีลงมาแล้ว 35 รายชื่อ เป็นไปตามโผที่สื่อมีการคาดหมายไว้ก่อนหน้า


มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีลงมาแล้ว 35 รายชื่อ เป็นไปตามโผที่สื่อมีการคาดหมายไว้ก่อนหน้า โดยรัฐมนตรีคนเดิมจากรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ที่เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มตำแหน่งมีเพียง 2 รายคือ ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะที่ ประเสริฐ จันทรรวงทอง นั่งรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ “บิ๊กเล็ก” พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ น้องรักของอดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยกลาโหม

สำหรับรัฐมนตรีหน้าใหม่ร่วมคณะของ แพทองธาร ชินวัตร มีจำนวน 11 ราย จากพรรคเพื่อไทย พิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ชูศักดิ์ ศิรินิล เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ นั่งรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย พรรคภูมิใจไทย ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยแทน ชาดาผู้เป็นพ่อที่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคบอก “เป็นข้อตกลงร่วมกัน” ไม่ได้มีปัญหาเรื่องกฎหมาย พูดให้ชัดคือ เพื่อไม่ให้อุ๊งอิ๊งต้องมีจุดจบเหมือนเศรษฐานั่นเอง

รวมไทยสร้างชาติ นอกจากบิ๊กเล็กแล้ว ก็มี เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พรรคประชาธิปัตย์ เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค เป็นรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข อีก 3 ราย เป็นโควตาของกลุ่ม ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ถึงที่มาของแต่ละคน อันเป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนถึงต้นเหตุที่เพื่อไทยเขี่ยกลุ่มของคนบ้านในป่าไปเป็นฝ่ายค้าน

โดย นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับ อิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ สองคนจากพรรคกล้าธรรมนั้น ธรรมนัสบอกว่าพรรคต้นสังกัดของทั้งคู่เป็นผู้เสนอให้พรรคแกนนำรัฐบาลพิจารณาเอง ส่วนน้องชายของตัวเอง อัครา พรหมเผ่า ที่เป็นรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ นั้น “มีมือที่มองไม่เห็นเป็นผู้เสนอชื่อ” เล่นลิ้นแบบนี้ ถือเป็นการยียวนกวนประสาทอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี มิหนำซ้ำ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ผู้กองมันคือแป้ง นำคณะ สส.ในกลุ่มไปนั่งในพื้นที่ของเพื่อไทยอีกต่างหาก

ประกาศตัวกันให้ชัดไปเลยว่าอยู่ฝั่งไหน แน่นอนว่า ท่วงทำนองเช่นนี้ย่อมถูกฝ่ายที่หมั่นไส้นำไปขยายผล ชี้ว่าจะเกิดการดูด สส.กลุ่มนี้เข้าพรรคนายใหญ่อีกแล้ว ทั้งที่ หากมองไปยังโควตาของรัฐมนตรีที่มีการจัดสรร แนวโน้มที่จะเป็นไปได้มากที่สุด หากต้องย้ายสังกัดย่อมจะเป็นพรรคกล้าธรรมมากกว่า ขณะเดียวกัน เรื่องการนั่งในที่ประชุมสภาฯ นั้น ไม่ได้มีข้อบังคับว่า สส.พรรคนั้นจะต้องนั่งในที่ประจำหรือจุดที่มีป้ายพรรคต้นสังกัดของตัวเองติดไว้เท่านั้น ถ้าจ้องจะจับผิดกันถึงขนาดนี้บอกได้คำเดียว อนาคตบ้านเมืองมืดมน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ครม.จะได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว แต่ยังเหลืออีก 2 กระบวนการจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่โดยสมบูรณ์ได้ อย่างแรกคือการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับตำแหน่ง หลังจากนั้นจะมีการประชุม ครม.พิเศษ เพื่อพิจารณาร่างนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา ก่อนที่จะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบาย แพทองธารจึงจะสามารถนั่งหัวโต๊ะประชุมในฐานะผู้นำรัฐบาลอย่างเป็นทางการได้ ตามไทม์ไลน์ที่เคยบอกไว้ว่าจะมีการประชุม ครม.นัดแรกวันที่ 17 กันยายนนี้

ประเด็นที่สังคมให้ความสนใจต่อนโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของอุ๊งอิ๊ง คงหนีไม่พ้นเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต เบื้องต้นอ่านสัญญาณจาก ทักษิณ ชินวัตร ผู้มีอำนาจ บารมีอย่างแท้จริงต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ต้องมีการปรับเปลี่ยน บนพื้นฐานที่ว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนรายละเอียดนั้น ฟังจาก จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังย้ำว่า มีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน โครงสร้างใหม่มาแล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนต้องรอให้กระบวนการครบถ้วนก่อน คาดว่าประมาณ 10 วันน่าจะรู้เรื่อง

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น คงต้องยอมรับกันว่าเพื่อความปลอดภัยทั้งตัวของนายกฯ และรัฐบาล เพราะเสียงทักท้วงในช่วงรัฐบาลเศรษฐาต่อดิจิทัลวอลเล็ตนั้นมีอยู่รอบทิศ มีการขยับ เขย่ากันหลายรอบกว่าจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนได้ พอมีการเปลี่ยนรัฐบาลถือเป็นโอกาสที่เพื่อไทยและผู้คิดค้นนโยบายจะใช้เป็นจังหวะในการปรับเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย โดยเฉพาะกับพรรคร่วมรัฐบาล แต่โจทย์ใหญ่ก็คือ คนที่ลงทะเบียนไปแล้วจะบริหารจัดการอย่างไร

ต้องไม่ลืมว่า ตรงจุดและถูกใจฝ่ายคัดค้านคือจ่ายเงินสดให้กลุ่มเปราะบาง ทำตามนี้ก็จะแก้ปัญหาได้เปลาะหนึ่ง ซึ่งก็จะมีตั้งคำถามตามมาว่า แล้วกรอบใหญ่ที่บอกว่าต้องการใช้เงินจำนวนนี้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้วใช่หรือไม่ รวมไปถึงการยืนกรานก่อนหน้าที่ว่าการเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลแทนการแจกเงินสด เพราะมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ ปรับเปลี่ยนแบบนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องทำตามที่ได้ประกาศไว้อีกแล้วใช่หรือไม่ ขยับแบบไหนก็เต็มไปด้วยปุจฉา

ส่วนผลพวงจากการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคเก่าแก่ ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เมื่อมีการยกเอาประเด็นเกี่ยวข้องขบวนการค้ายาเสพติด ต้องคดีอาญา มีข้อกล่าวหาที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช.มาเล่นงานเดชอิศม์ในฐานะแม่บ้านพรรค บอกแล้วว่านี่มันเป็นวิถีของพรรคการเมืองนี้ ยึดโยงหลักการ อ้างระบบ และถือมติพรรคเป็นสำคัญ แต่เบื้องหลังมักจะตามมาด้วยการขุดคุ้ย เปิดโปง โดยอาศัยสื่อที่เป็นพวกพ้อง เครือข่าย อยู่ที่ว่าการถูกโจมตีแบบนี้ หัวหน้าและเลขาฯ พรรคเลือกที่จะให้จบแบบไหน ขอโทษ เลิกแล้วต่อกัน หรือปะฉะดะให้พังกันไปข้าง น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

อรชุน

Back to top button