เขย่าแล้วไม่ลง

สิ่งที่น่าดีใจสำหรับหุ้นไทยในตอนนี้ก็คือ แรงขายที่ไหลออกมาเป็นจำนวนมากตั้งแต่เปิดเทรดวานนี้ ไม่สามารถกดดัชนีให้รูดลงหนักเหมือนก่อนหน้านี้


สิ่งที่น่าดีใจสำหรับหุ้นไทยในตอนนี้ก็คือ แรงขายที่ไหลออกมาเป็นจำนวนมากตั้งแต่เปิดเทรดวานนี้ ไม่สามารถกดดัชนีให้รูดลงหนักเหมือนก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเหลือบดูตลาดหุ้นต่างประเทศที่รูดลงแรงกันเป็นแถว แต่ตลาดหุ้นไทยกลับยืนหยัดสู้แรงขายได้ตลอดเวลา จนสุดท้ายยืนปิดที่ระดับ 1,365.49 จุด บวกไป 0.89 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.89 หมื่นล้านบาทแบบนี้..ไม่ธรรมดานะจะบอกให้

โดยประเด็นที่เรียกเสียงฮือฮามากสุดในหมู่กองทุนก็คือ กองทุนวายุภักษ์จะเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นไทยในเดือน ต.ค. ซึ่งว่ากันว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 1.50 แสนล้าน และเที่ยวนี้จะให้ความสำคัญกับหุ้นกลางเล็กที่ดำเนินการในเรื่องของ ESG แบบเต็มตัว หลังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะสร้างธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน จึงควรให้การสนับสนุนหุ้นเหล่านี้แบบสุดซอยไปเลยจ้าแม่!

เหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำให้ “โมนิก้า” ต้องย้อนกลับมาดูท่าทีของกองทุนในประเทศขานรับข่าวดังกล่าวมากขนาดไหน? เพราะที่ผ่านมาชอบทำตัวพลิ้วไหวตลอดเวลา แต่เมื่อมีไฟต์บังคับแบบนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ น่าจะทำให้กองทุนมีมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยดีขึ้น ซึ่งเห็นได้จากวานนี้ซื้อสุทธิไปอีก 550 ล้านบาท ขณะที่วันก่อนซื้อไปทั้งสิ้น 1.66 พันล้าน จึงเป็นเรื่องที่แฟนคลับต้องไปทำการบ้านอีกครั้งนะคะ

ส่วนรายที่ไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว เพราะผลงานต่อจากนี้จะดีขึ้นชัวร์ “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น BGRIM เพื่อชี้ให้เห็นการขึ้นมาปิดที่ระดับ 21.50 บาท บวกไป 0.80 บาท หรือขึ้นไป 3.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 595 ล้านบาท ล้วนเป็นผลมาจากต้นทุนพลังงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเรื่องนี้ก็ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไร วานนี้จึงเห็นแรงซื้อไหลกลับเข้ามาต่อเนื่องตลอดทั้งวันไงล่ะจ๊ะ

เมื่อมีหุ้นที่ได้รับผลดี ย่อมมีหุ้นที่ได้รับผลเสีย และในที่นี้ก็คือพี่เทพ PTTEP ที่ต้องแบกรับไปเต็ม ๆ เพราะการที่ราคาน้ำมันดิบไหลลงมาจาก 88 เหรียญต่อบาร์เรล ลงมายืนที่บริเวณ 73 เหรียญต่อบาร์เรล พร้อมกับทำระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ย่อมทำให้นักลงทุนไม่สบายใจอย่างแรง และจำเป็นต้องขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงออกมาก่อน วานนี้ถึงเห็นหุ้นลงมาปิดที่ระดับ 138 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 1.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 980 ล้านบาทเจ้าค่ะ

อีกประเด็นที่น่าสนใจในเที่ยวนี้ก็คือ แรงซื้อเป็นจำนวนมากที่ไหลกลับเข้ามาในหุ้น ORI จนดันราคาหุ้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 4.88 บาท บวกไป 0.36 บาท หรือขึ้นไป 7.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 148 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแรงเป็นวันที่ 2 ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณสิ้นสุดขาลงอย่างเป็นทางการแล้วกระมัง! เพราะนานเป็นปีที่ไม่ได้เห็นราคาหุ้นพุ่งแบบนี้ แถมเมื่อดูค่า PE 6 เท่าเป็นสารตั้งต้นในการลงทุน มันทำให้เชื่อว่า ราคานี้มีเสี่ยงต่ำจ้า!

ส่วนคนที่ชอบความเร้าใจในชีวิต และกำลังมองหาหุ้นประเภทเทิร์นอะราวด์ “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น SMT แบบไม่มีอาการลังเลใจ เพราะการถีบตัวขึ้นแรง 2 วันติด ก่อนปิดที่ระดับ 2.08 บาท บวกไป 0.37 บาท หรือขึ้นไป 21.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 187 ล้านบาท มันเป็นเกมที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับคนที่เชื่อว่า ธุรกิจรับจ้างผลิต และประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จะคัมแบ็คน่ะซี

อีกรายที่น่าสนใจแง่ของแรงซื้อไหลเข้ามาหนาแน่นในช่วง 2 วันนี้ “โมนิก้า” ต้องต้องเหลือบตามองหุ้น BCPG เป็นรายถัดมา เพราะการที่หุ้นขึ้นมายืนที่ระดับ 6.70 บาท บวกไป 0.45 บาท หรือขึ้นไป 7.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 158 ล้านบาท พร้อมกับพยายามยกฐานให้สูงขึ้นกว่าเดิม มันตีความได้อย่างเดียวว่า ผลงานครึ่งปีหลังจะออกมาดีเหมือนครึ่งปีแรก จึงถึงเวลาที่หุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงเสียที (หากกำไรต่อหุ้นทั้งปีออกมา 1 บาท หุ้นควรเป็นเท่าไหร่?) เจ้าค่ะ

ตบท้ายกันที่หุ้นยางมะตอย TASCO เพื่อชี้ให้เห็นโชค 2 ชั้นของหุ้นตัวนี้กันดีกว่า เพราะประเด็นที่เม้าท์กันต่อเนื่องมาจาก 2 เรื่องใหญ่ ๆ คือ ราคาน้ำมันดิบลงต่อเนื่องทำให้ต้นทุนยางมะตอยลดลงเยอะ กับเรื่องน้ำท่วมทำให้มีการอัดงบซ่อมถนนแบบเร่งด่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยบิ้วกำไรของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ วานนี้ถึงเห็นหุ้นขยับตัวแรงอีกครั้ง ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 17.70 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 4.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 507 ล้านบาทนะออเจ้า

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button