ไทม์ไลน์ทอง..ตลาดหุ้นไทย

ปรากฏการณ์ “ดัชนีตลาดหุ้นไทย” ข้ามผ่านแนวต้าน 1,400 จุดได้อย่างง่ายดาย ด้วยมูลค่าซื้อขายกว่า 81,736 ล้านบาท กลายเป็นโจทย์ใหม่ที่ต้องร่วมหาคำตอบ


ปรากฏการณ์ “ดัชนีตลาดหุ้นไทย” ข้ามผ่านแนวต้าน 1,400 จุดได้อย่างง่ายดาย ด้วยมูลค่าซื้อขายกว่า 81,736 ล้านบาท กลายเป็นโจทย์ใหม่ที่ต้องร่วมหาคำตอบกันว่า นี่คือ “จุดเริ่มต้นขาขึ้นครั้งใหม่” หรือกำลังผ่านพ้น ภาวะหมี (Bearish) เพื่อเริ่มต้นเข้าสู่ภาวะกระทิง (Bullish) แล้วใช่หรือไม่..!?

หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญ..ที่พอจะตอบโจทย์ดังกล่าวได้ นั่นคือไทม์ไลน์สำคัญที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้เป็นต้นไป..

เริ่มจาก 4 ก.ย. 67 ในหลวงโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง (แพทองธาร ชินวัตร) ตามด้วย 6 ก.ย. 67 เข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ ถัดมา 7 ก.ย. 67 ประชุมคณะรัฐมนตรีใหม่ (ครม.) เพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจเนื้อหานโยบายรัฐบาล..

ทว่าไฮไลต์อยู่ในวันที่ 11-12 ก.ย. 67 เป็นวันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา อันเป็นสัญญาประชาคม ที่รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง ต้องกระทำต่อไป

ตรงนี้เองมีหลายนโยบาย..ที่แวดวงตลาดทุน เฝ้าจับตารอดูรายละเอียดและสาระสำคัญ เพื่อนำมาประเมินและวิเคราะห์เพื่อหาโอกาสลงทุนหุ้นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเร่งด่วนอย่างกรณี “การแจกเงิน 10,000 บาท” ที่จะมากระตุ้นหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคหรือกลุ่มบริการต่าง ๆ ตามด้วยนโยบายการลงทุนโครงการภาครัฐต่าง ๆ ที่จะเป็นแรงกระตุ้นหุ้นสถาบันการเงิน หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง-วัสดุก่อสร้างและกลุ่มบริโภคต่าง ๆ

อีกไทม์ไลน์สำคัญที่มีนัยสำคัญโดยตรงต่อตลาดหุ้นไทย นั่นคือ “กองทุนวายุภักษ์ (หนึ่ง)” ที่เบื้องต้นมีกำหนดขายหน่วยลงทุน (ประเภท ก.) ช่วงระหว่าง 16-20 ก.ย. 67 และเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ (หนึ่ง) จะเริ่มเข้าลงทุนหุ้นไทย ประมาณช่วงต้นเดือนต.ค. 67 

และด้วยเงื่อนไขการลงทุนของวายุภักษ์ (หนึ่ง) ที่เปิดกว้างมากขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะหุ้นบลูชิพที่อยู่ใน SET50 หรือหุ้นรัฐวิสาหกิจเพียงเท่านั้น แต่สามารถลงทุนหุ้น Mid-Small Cap ที่เป็นเลิศด้าน ESG หรือหุ้นที่มีการเติบโตสูง (Growth Stock) ได้ทำให้จักรวาลการลงทุนกว้างขวางขึ้น

ทำให้หุ้นหลายร้อยตัวที่อยู่ในเงื่อนไขมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามด้วยเช่นกัน

ที่สำคัญด้วยเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ (หนึ่ง) จำนวน 1.5 แสนล้านบาท จะมีโอกาสผลักดันดัชนีหุ้นไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ เหล่าบรรดานักวิเคราะห์หลายสำนัก ประเมินว่า ด้วยขนาดเม็ดเงินดังกล่าว จะช่วยเพิ่มอัพไซด์ให้กับดัชนีหุ้นไทยได้มากถึง 180 จุด เลยทีเดียว..!!?

อีกไทม์ไลน์สำคัญที่จะเกิดขึ้นช่วงไตรมาส 4/67 นั่นคือ..เม็ดเงินจากกองทุน TESG (กองทุนประหยัดภาษี) ที่จะเข้ามาช่วงโค้งสุดท้ายของทุกปี และด้วยเงื่อนไขใหม่ (อายุ 5 ปี ลดหย่อนได้ 300,000 บาท) นั่นจะทำให้เม็ดเงินสะพัดในตลาดหุ้นไทยอีกประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท

แต่ยังไม่จบแค่นั้น..ยังมีไทม์ไลน์นอกประเทศ ที่จะมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดไทย เริ่มจากการประชุมเฟด วันที่ 17-18 ก.ย. 67 มีความเป็นได้เกือบ 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% (ปัจจุบัน 5.25-5.50%) หรืออาจมีบิ๊กเซอร์ไพรส์ลด 0.50% ก็เป็นได้

อย่างไรก็ดีไม่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ล้วนเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย..เพราะ “ฟันด์โฟลว์” ที่เคยเกษมสันต์กับผลตอบแทนในสหรัฐอเมริกา..จะไหลเวียนออกสู่ตลาดทุนต่าง ๆ ทั่วโลกมากขึ้น 

นั่นหมายรวมถึง “ตลาดหุ้นไทย” ด้วยเช่นกัน..!??

จุดที่น่าสนใจคือนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา “หุ้นไทย” ยัง Underperform เมื่อเทียบตลาดอื่น ๆ เท่ากับว่าอัพไซด์จึงเปิดกว้างมากขึ้นเมื่อเทียบกับ “ตลาดหุ้นเกิดใหม่” ด้วยกัน

ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งไทม์ไลน์สำคัญคือ MSCI จะมีปรับน้ำหนักการลงทุน (Rebalance) ตลาดหุ้นทั่วโลกรายไตรมาสช่วงเดือนพ.ย. 67

จากด้วยไทม์ไลน์ที่กล่าวถึงมาตั้งแต่ต้น ทำให้มีความหวังว่า MSCI จะมีการ “ปรับเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทย” เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาสที่ผ่านมา

และนั่นจะเป็นการตอบโจทย์ว่า..ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ “ภาวะกระทิง” (Bullish) ได้อย่างชัดเจน..!!

สุภชัย ปกป้อง (แทน)

Back to top button