โบรกเกอร์แห่อัพราคาหุ้น TU

3 โบรกเกอร์ให้คำแนะนำในทิศทางเดียวกัน คือ “ซื้อ” สำหรับหุ้น TU โดยมองว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นี้ จะมีอนาคตที่สดใส


เส้นทางนักลงทุน

3 โบรกเกอร์ให้คำแนะนำในทิศทางเดียวกัน คือ “ซื้อ” สำหรับหุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ผู้ผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง บรรจุกระป๋อง ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป อาหารว่าง เน้นอาหารทะเล ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ ธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจพัฒนาสายพันธุ์กุ้งเพื่อจำหน่าย โดยมองว่าช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นี้ จะมีอนาคตที่สดใส

ความเชื่อนี้ตอกย้ำผ่านผู้บริหาร TU ที่กล้าประกาศปรับเป้าหมายทางการเงินในปีนี้ใหม่ โดยปรับเป้ารายได้ขึ้นเป็นขยายตัว 4-5% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 หลังการดำเนินงานผ่านไป 7 เดือนแรกของปี 2567 ชี้ว่า TU จะสามารถคืนฟอร์มสร้างผลประกอบการโดดเด่นได้

เดิม TU ประเมินว่าทั้งปีนี้จะมีโอกาสเติบโตประมาณ 3-4% จากปีก่อน แต่ 6 เดือนแรกของปีนี้ TU มีรายได้รวมแล้ว 69,088.42 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,371.68 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น หุ้นละ 0.51 บาท มีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) 5.51% ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) -20.76% และมีอัตรากำไรสุทธิ 4.21% ขณะที่ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) อยู่ที่ 1.19 เท่า

เมื่อผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2567 ออกมาดีเกินกว่าคาด ทำให้ผู้บริหาร TU มั่นใจว่าจะสามารถผลักดันอัตราการทำกำไรขั้นต้น (GPM) พุ่งขึ้นสู่ระดับ 18-18.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา จากเป้าหมายเดิม 17-18% ได้โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง, สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม และอาหารแปรรูป (Ambient)

ขณะเดียวกัน ก็ปรับเป้าหมายค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A/Sale) ขึ้นเป็น 12-12.5% จากเดิม 11-12% เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาโครงการสูงขึ้น

สำหรับ TU แล้ว ในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากลำบาก แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 จะยังคงดีขึ้นต่อเนื่อง เพราะเป็นช่วงซีซั่น หรือฤดูกาล รวมถึงราคาขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปสูงขึ้น

มีการประเมินกันว่าผลการดำเนินงานของ TU น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เมื่อการทยอยเพิ่มประสิทธิภาพ หรือ ramp up ของของโรงงานใหม่ และราคาทูน่าที่น่าจะทรงตัว โดยล่าสุดราคาทูน่าเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 1,580 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ทำให้มองเห็นแนวโน้มตลอดทั้งช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก

นอกจากนี้ การเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ รวมทั้งธุรกิจแปรรูปอาหารทะเล และธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง (Frozen) ในสหรัฐฯ ยังมีการเติบโตแข็งแกร่ง หนุน GPM จะดีขึ้น ตลอดจนการรับรู้ราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ราคาต่ำ เพราะบริษัทสต๊อกวัตถุดิบราคาต่ำเพียงพออีก 3 เดือน แต่ราคาขายเฉลี่ยกับลูกค้ากลุ่มรับจ้างผลิต (OEM) จะปรับขึ้นตามทิศทางราคาปลาทูน่าและรับรู้อัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นช่วยลดต้นทุนคงที่ต่อหน่วย

ขณะที่ ปัญหาการขนส่งทางเรือทยอยดีขึ้นจะหนุนการรับรู้รายได้ในโซนยุโรป หรือ EU และบริษัทจะมีคำสั่งซื้อบางส่วนที่เลื่อนมาจากไตรมาส 2 ปีนี้ หนุนการรับรู้รายได้ ด้านธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง แม้ GPM อาจจะลดลง แต่จะชดเชยได้ด้วยรายได้ที่เติบโต

โบรกเกอร์ต่างปรับราคาเป้าหมายของ TU ในปี 2567 ขึ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดกำไรปกติปี 2567 ที่ 5,965 ล้านบาท เติบโต 5.8% YoY ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ขึ้นเป็น 17.20 บาท ตามการปรับขึ้นราคาเหมาะสมของ ITC ทั้งนี้การยืมเงินจาก ITC เพื่อบริหารจัดการเงินในกลุ่มและลดดอกเบี้ยจ่ายเพื่อบริหารจัดการเงินภายในกลุ่ม โดย TU มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ Refinance หนี้ที่มีอยู่ เพื่อช่วยลดดอกเบี้ยจ่าย เนื่องจากดอกเบี้ยจะต่ำกว่าดอกเบี้ยของบริษัทปัจจุบันที่เฉลี่ยอยู่ที่ราว 3.8% แต่ต้องรอการอนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นของ ITC ในวันที่ 30 ก.ย. ก่อน

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 18.50 บาท จากเดิม 18 บาท ปรับกำไรปกติปี 2567 ขึ้น 8% เป็น 5.3 พันล้านบาท เติบโต 6% YoY จากการปรับสมมติฐานรายได้และ GPM ขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินใหม่ของบริษัท มองว่าผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1 ปีนี้

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) มองโมเมนตัมของกำไรจะเป็นบวกต่อเนื่องในครึ่งหลังปีนี้ เพราะคาดว่า GPM จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป คาดราคาขายจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าต้นทุนวัตถุดิบ ขณะเดียวกัน TU จะได้อานิสงส์เล็กน้อย ราว 1-2% ของกำไรสุทธิปี 2568 จากการทำข้อตกลงกู้เงินกับ ITC เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง

นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลงทั้งในประเทศไทย และในต่างประเทศ นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกของ TU ในปีหน้าด้วย ประเมินราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 19.70 บาท อิง P/E ที่ 15 เท่า

แนวโน้มของ TU ในช่วงครึ่งหลัง จึงมีสัญญาณว่าไตรมาส 3 นี้ TU จะเติบโตต่อเนื่อง และจะเร่งตัวขึ้นทำระดับสูงสุดในไตรมาส 4 ของปี 2567

Back to top button