SET ยังมีโมเมนตัมขึ้นได้ดี แต่อาจระวังแรงขายทำกำไรช่วงสั้น

InnovestX เริ่มมีความกังวลมากขึ้นต่อทิศทางตลาดแรงงานสหรัฐฯ หลังตำแหน่งงานเปิดใหม่ปรับลดลงต่ำกว่า 8 ล้านตำแหน่งอย่างต่อเนื่องติดกัน 2 เดือน


InnovestX เริ่มมีความกังวลมากขึ้นต่อทิศทางตลาดแรงงานสหรัฐฯ หลังตำแหน่งงานเปิดใหม่ปรับลดลงต่ำกว่า 8 ล้านตำแหน่งอย่างต่อเนื่องติดกัน 2 เดือน (Revise down) บ่งชี้ว่านายจ้างเริ่มลดการจ้างงาน รวมถึงเริ่มปลดคนงานออกมากขึ้น เห็นได้จากจํานวนการเลิกจ้างเพิ่มขึ้นเป็น 1.76 ล้านคน สูงสุดนับตั้งแต่ มี.ค. 2566 นําโดยธุรกิจสันทนาการและการบริการที่เคยเป็นแหล่งการจ้างงาน บ่งชี้ว่าเป็นไปได้ที่อัตราการว่างงานจะทรงตัวหรือสูงกว่าระดับ 4.3% ในเดือน ก.ค. 

นอกจากนั้น ภาคการผลิตยังคงมีความเสี่ยง เห็นได้จากดัชนี ISM Manufacturing ที่อยู่แดนลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยในรายละเอียดพบว่าสินค้าคงคลังเริ่มเพิ่มขึ้น บ่งชี้ว่าภาคการผลิตจะชะลอตัวมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า InnovestX จึงมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในครึ่งปีหลังจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจขยายตัวที่ 1.5% ต่อปี จากประมาณ 3.0% ในครึ่งปีแรก และเป็นไปได้มากขึ้นว่า Fed จะลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง 4-6 ครั้งติดกันในการประชุม FOMC รวมถึงลดทอนการทำ QT มากขึ้น (ปัจจุบันอยู่ที่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน)

ในส่วนของไทย การจัดตั้งรัฐบาลแพทองธารที่ทำได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการประกาศกรอบนโยบายที่เร่งผลักดันดิจิทัลวอลเล็ตระยะที่ 1 ผลักดันแนวนโยบายสนับสนุนตลาดทุน ทั้งกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท กองทุน Thai ESG และผลักดันสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้มากขึ้น ทำให้ InnovestX มองว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 อาจขยายตัวได้ดีขึ้นที่ระดับประมาณ 3.5% จากเดิมที่เคยมองไว้ที่ 2.9% 

ส่วนของตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET ยังมีโมเมนตัมที่ดีจากคลายกังวลเสถียรภาพทางการเมืองไทยและคาดหวังการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในปลายไตรมาส 3-4/67 ซึ่งส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่อย่างไรก็ดีช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET Index ปรับขึ้นแล้วกว่า 10% จากเดือนก่อนหน้า จึงอาจต้องระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นบริเวณแนวต้าน 1,450-1,460 จุด โดยมองเม็ดเงินลงทุนจะสลับไหลออกจากกลุ่มธนาคาร ไฟแนนซ์ สื่อสาร ไปเข้าสู่กลุ่มปิโตรเคมี โรงไฟฟ้า อสังหาฯ และการแพทย์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เงินเฟ้อชะลอตัวลงและคาดจะนำไปสู่การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ FED และ ECB ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้

  1. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งเทคนิคมีสัญญาณกลับตัว และ Valuation ยังไม่แพง โดยซื้อขายที่ PER และ PBV ต่ำกว่า -1SD แนะนำ CPN, GPSC, TFFIF
  2. นักลงทุนที่ต้องการหุ้นเก็งกำไรซึ่งคาดได้อานิสงส์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง แนะนำ กลุ่มเช่าซื้อ (MTC) กลุ่มอสังหาฯ (AP) กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CPAXT) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF) กลุ่ม Reits (LHHOTEL, DIF)
  3. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากคาดรัฐบาลใหม่จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในช่วง ก.ย. นี้ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แนะนำ CPALL, CPAXT, BJC, TNP, CBG 
  4. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากกองทุนวายุภักษ์รอบใหม่ โดยเลือกหุ้น SET100 ที่มีคุณสมบัติ 1) จ่ายเงินปันผลดี โดยให้ Dividend Yield ขั้นต่ำปีละ 3.5% 2) มี ESG Rating สูงตั้งแต่ระดับ A-AAA และ CG ระดับ 5 ดาว และ 3) มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้ในปี 2025 เลือก KTB, BBL, BCP, ADVANC, HMPRO

สุกิจ อุดมศิริกุล

กรอบนโยบายรัฐบาลแพทองธาร

ด้าน แนวนโยบาย
ระยะเร่งด่วน
  1. ดิจิทัลวอลเล็ตระยะที่ 1—แจกเงินกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน วงเงิน 14.5 แสนล้านบาท
  2. ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน-ราคาสินค้าเกษตร
  3. แก้ปัญหายาเสพติด
  4. ผลักดันแนวนโยบายสนับสนุนตลาดทุน ทั้งกองทุนวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท Thai ESG และผลักดันสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA)
ระยะกลาง-ยาว
  1. เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
  2. การพัฒนาท่าเรือระนอง
  3. การถมทะเลบางขุนเทียน สร้างพื้นที่ทางเศรษฐกิจ
  4. การบริหารจัดการน้ำ

Sources : Bangkok business News, INVX

Back to top button