‘เจพีมอร์แกน’ ดาวน์เกรดหุ้นจีน

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา “ตลาดหุ้นจีน” อย่าง Shanghai Exchange ปรับตัวลงกว่า 5% และ Shenzhen Composite ปรับตัวลงกว่า 16%


ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา “ตลาดหุ้นจีน” อย่าง Shanghai Exchange ปรับตัวลงกว่า 5% และ Shenzhen Composite ปรับตัวลงกว่า 16% ล่าสุด “เจพี มอร์แกน” ปรับลดอันดับคำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นจีน ด้วยแนวโน้มความผันผวนที่เพิ่มมากขึ้น จากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่กำลังจะมีขึ้นต้นเดือนพ.ย. 67 ผนวกอุปสรรคด้านอัตราการเติบโตของจีน และแรงสนับสนุนจากนโยบายรัฐบาลปักกิ่ง ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอ..!!

จีนถูกปรับลดอันดับการจัดสรรตลาดเกิดใหม่ จากเดิมระดับ Overweight มาเป็น Neutral โดยสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้ ขณะที่ความพยายามในการฟื้นฟูประเทศ เพื่อออกจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของจีนยังคงไม่ดีพอ

โดยผลกระทบสงครามภาษีศุลกากร 2.0 จะปรับอัตราภาษีเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 60% อาจส่งผลกระทบรุนแรงกว่าครั้งก่อน บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า การเติบโตระยะยาวของจีนเชิงโครงสร้าง มีแนวโน้มลดลง จากการกำหนดห่วงโซ่อุปทานใหม่ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงปัญหาภายในประเทศเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นักเศรษฐศาสตร์หลายรายประเมินว่า จีนจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตประมาณ 5% ช่วงปีนี้ได้ ขณะที่นักวิเคราะห์หุ้นหลายคนแนะนำให้ “ลูกค้าของตนไปลงทุนในตลาดอื่น” แทน

“เจพี มอร์แกน” แนะนำนักลงทุนใช้เงินที่ได้รับจากการปรับระดับความน่าเชื่อถือของประเทศจีนเพื่อนำไปเพิ่มการเปิดรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญนั่นหมายถึงตลาดหุ้นอินเดีย, เม็กซิโก, ซาอุดีอาระเบีย, บราซิล, อินโดนีเซีย

สำหรับ “กองทุนหุ้นตลาดเกิดใหม่” (ไม่รวมประเทศจีน) กำลังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างสถิติใหม่ช่วงปีที่ผ่านมา ด้วยการเสนอขายกองทุนใหม่ประจำปีจำนวน 19 กองทุน เนื่องจากนักลงทุนกำลังมองหาการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าจากตลาดต่างประเทศ

ทั้งนี้ Wendy Liu หัวหน้านักวิเคราะห์จากเจพีมอร์แกนฝั่งเอเชียและนักยุทธศาสตร์หุ้นจีน ระบุว่า เจพีมอร์แกนได้ปรับลดฐานเป้าหมายดัชนี MSCI China Index สำหรับสิ้นปี 2567 ลงจาก 66 จุด เป็น 60 จุด และปรับลดดัชนี CSI300 Index ลงจาก 3,900 จุด เป็น 3,500 จุด

สำหรับธนาคารทั่วโลกส่วนใหญ่ ประเมินว่า เศรษฐกิจของจีนปีนี้จะเติบโตน้อยกว่า 5% โดย Liu เสริมว่า ตลาดหุ้นจีนอาจมีกิจกรรมการซื้อขายน้อยลงช่วงเดือนก.ย.-ต.ค. หลังมีการประกาศผลประกอบการบริษัทของไตรมาส 2/67

ขณะที่ปัจจุบันการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยเฟดและแนวโน้มการเติบโตของสหรัฐฯ จะเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากที่สุด

สอดคล้องกับปลายส.ค. 67 ที่ผ่านมา “ยูบีเอส กรุ๊ป” มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนทั้งปีนี้ และปีหน้า เนื่องจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำกว่าที่คาดไว้และยังไม่เห็นจุดต่ำสุด โดยเศรษฐกิจจีนชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงมี.ค. 67 อันเป็นผลมาจากภาคอสังหาริมทรัพย์ซบเซาและการดำเนินนโยบายการคลังแบบเข้มงวด

นั่นจึงถูกประเมินว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตเพียง 4.6% ช่วงปี 2567 ลดลงจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 4.9% และเติบโต 4% ช่วงปีถัดไป ลดลงจากตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 4.6% แม้ว่าจีนผ่อนคลายนโยบายสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ปลายปี 2565 แต่การดำเนินมาตรการเหล่านี้ล่าช้า จึงทำให้ส่งผลอย่างจำกัด..!

จุดที่น่าสนใจนับจากนี้ คือผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะเป็นเงื่อนไขตอกย้ำ “สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน” ว่าจะมีการใช้ “อาวุธหนักทางเศรษฐกิจ” ตอบโต้กันเช่นไร.!?

Back to top button