พาราสาวะถี

เห็นการก่อเกิดของม็อบต้านรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร กลุ่มแกนนำพวกขาประจำ กับข้ออ้างใหม่ที่ใช้เคลื่อนไหวต่อต้านกาสิโนกับดิจิทัลวอลเล็ต


เห็นการก่อเกิดของม็อบต้านรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร กลุ่มแกนนำพวกขาประจำ กับข้ออ้างใหม่ที่ใช้เคลื่อนไหวต่อต้านกาสิโนกับดิจิทัลวอลเล็ต เรื่องแรกพอไปวัดไปวาได้ ส่วนเรื่องหลังถามคนส่วนใหญ่แล้วหรือไม่เห็นด้วยหรือเปล่า แทบจะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเบื้องหลังของคนเหล่านี้คือใครที่สนับสนุนเงินทุน อย่าอ้างอุดมการณ์ใด ๆ แค่เห็นรายชื่อหัวขบวนก็รู้กันดีแล้วว่า มาเพราะหวังดีกับบ้านเมือง หรือแค่หาเรื่องปั่นป่วน เผื่อฟลุกล้มฝ่ายบริหารได้ จะมีโบนัสก้อนโต

ไม่ต่างอะไรกับกรณีที่นักร้องมืออาชีพ ที่ทำท่าว่าจะกลายเป็นพวกออกอ่าวออกทะเลไปเสียแล้ว เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ส่งหนังสือถึง กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบอุ๊งอิ๊ง กรณีเสนอชื่อ ภูมิธรรม เวชยชัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 8 หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ข้อกล่าวหาและเป้าหมายปลายทางก็เหมือนที่ เศรษฐา ทวีสิน เคยถูกสอยมาทั้งหมด

อาจดูด่วนสรุปเกินไปว่ามือตกสำหรับนักร้องรายนี้ เพราะมองดูกรณีของเสี่ยอ้วน เทียบเคียงกับ พิชิต ชื่นบาน ต่างกันลิบลับ รายหลังถูกคำสั่งศาลให้ขังจากพฤติกรรมเรื่องถุงขนม ขณะที่กรณีข้อกล่าวหาที่พุ่งเป้าไปยังภูมิธรรมคือ การเข้าป่าในช่วงถูกกล่าวหาเป็นคอมมิวนิสต์ ก่อนที่จะมีคำสั่งที่ 66/2523 ล้างมลทิน ยกความผิดให้ในฐานะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ก็ไม่รู้ว่าการหยิบยกประเด็นเช่นนี้มากล่าวหา ต้องการอะไร เหมือนที่ผู้จัดการรัฐบาลว่า จะไปรื้อฟื้นให้เกิดความขัดแย้งในชาติอีกทำไม

ทั้งสองความเคลื่อนไหวทำให้เห็นได้ชัดว่า รากที่มาของการโจมตีฝ่ายกุมอำนาจบริหารนั้น ไม่ได้มองไปยังบริบทที่เปลี่ยนไปคือการก้าวข้ามความขัดแย้ง ยังคงใช้ความเกลียดชังมาเป็นตัวนำ ผนวกเข้ากับความต้องการแก้แค้น หวังผลที่จะกลับมามีอำนาจของบางคนบางพวก ต้องถามกันว่าการกระทำเช่นนี้จะมีแนวร่วมมากขนาดไหน บรรดาพวกที่เคยทำตัวเป็นอีแอบหนุนการก่อม็อบจนล้มรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลในเครือข่ายต่อมา จนถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเล่นงานกันด้วยวิธีการแบบนี้อีกหรือ

คนที่อธิบายได้เห็นภาพถึงความเคลื่อนไหวดังกล่าวคือ วันชัย สอนศิริ อดีต สว.ลากตั้ง ที่ชี้ว่า รัฐบาลชุดนี้ทำให้เกิดนักร้องมืออาชีพ นักหาเรื่องมือฉมัง และนักหิวแสงขาประจำ มากมายหลายคนมีงานทำเยอะแยะ วัน ๆ มีแต่เรื่องกล่าวหาสารพัด รัฐบาลที่ผ่านมาทำให้คนพวกนี้ตกงานหาเรื่องหาประเด็นเล่นใครไม่ค่อยได้ มาวันนี้เฟื่องฟูมาก ยิ่งรัฐบาลอยู่นาน งานก็ดี เงินก็เดิน ขอภาวนาให้นายกฯ อุ๊งอิ๊งอยู่ให้นานแสนนาน อย่าให้คนพวกนี้ตกงานเลย “สงสารผู้สืบสันดานของพวกเขา” นี่ไงที่เขาเรียก “ร้องแล้วรวย”

คงต้องกลับไปอ่านสัญญาณของการเกิดรัฐบาลพลิกขั้ว บรรดาชนชั้นอีลิทที่มีอิทธิพลต่อการเมืองในประเทศ คิดเห็นกันอย่างไรต่อการเกิดขึ้นของรัฐบาลเศรษฐา กระทั่งมาถึงรัฐนาวาแพทองธาร ไม่ใช่ไม่มีทางเลือก แต่มันเป็นทางเดินที่จะต้องก้าวกันไปเช่นนี้ เมื่อนักการเมืองอีกฝ่ายยึดถือแนวทางสุดโต่ง ยังไงก็ก้าวขึ้นมาบริหารประเทศไม่ได้ ขณะที่จะหันกลับไปใช้บริการรัฐประหารเพื่อล้มทุกอย่าง เซตซีโร่กันอีกกระทอก มีแต่หายนะเท่านั้นที่รออยู่ข้างหน้า

นอกเหนือจากเป็นสีสัน เรียกความน่าสนใจในแง่มุมของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลแล้ว คงจะไปให้ราคากับบุคคลหรือกลุ่มคนพวกนี้ได้ยาก ต้องมองไปที่นโยบายของรัฐบาลซึ่งกำลังจะแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา และให้โอกาสในการได้เป็นผู้นำขับเคลื่อนประเทศในส่วนของแพทองธาร การประสานความร่วมมือ แม้กระทั่งเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ยังสามารถร่วมงานกันได้ นั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงพลังเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่เพราะนักเลือกตั้งมองผลประโยชน์ส่วนตัวพวกพ้องเป็นสำคัญ หากแต่โจทย์ของบ้านเมือง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหันหน้าเข้าหากัน เพื่อทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าให้ได้

จะเห็นได้ว่าการที่เพื่อไทยวางตัวภูมิธรรมไปนั่งคุมกระทรวงกลาโหมนั้น ไม่ได้เป็นพลเรือนไปบัญชาการจนทำให้เกิดการปลุกกระแสต่อต้าน ไม่ยอมรับเหมือนที่ สุทิน คลังแสง เข้าไปบริหารในช่วงปีแรก หนนี้มี “บิ๊กเล็ก” พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ มาเป็นรัฐมนตรีช่วยด้วย ย่อมแสดงให้เห็นว่า เป็นการพบกันครึ่งทาง งานที่เข้าใจ เข้าถึงบรรดาเหล่าทัพทั้งหลายก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่รู้จักมักคุ้นกันดี เพื่อให้เกิดการยอมรับ แต่ในแง่ของการบริหาร ดูเรื่องงบประมาณ จับตากระบวนการเคลื่อนไหวที่มีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล จำเป็นที่จะต้องมีคนของพรรคแกนนำเข้าไปดูแล

อาจจะดูเหมือนเป็นความไม่ไว้วางใจกันระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายกุมขุมกำลังทางทหาร แต่ความจริงเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายต่าง ๆ อำนาจบริหารไม่สามารถที่จะล้วงลูกได้เหมือนในอดีต นับแต่มีพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ที่การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพล จะต้องดำเนินการในรูปของคณะกรรมการที่จะมีรัฐมนตรีว่าการเป็นประธาน รัฐมนตรีช่วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ เป็นกรรมการ มีปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นกรรมการและเลขานุการ ในยุคของบิ๊กอ้วน มีเรื่องร้อนที่ค้างมาจากสมัยของสุทินคือ เก้าอี้ ผบ.ทร.ซึ่งยังเคาะกันไม่ลง 

มองไปยังปัญหาภายในแวดวงคนมีสี ต้องยอมรับกันว่านับตั้งแต่รัฐประหารโดยเผด็จการ คสช. ได้สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายที่ถูกกดทับมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ดังนั้น เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงต้องมีการขยับจัดทัพกันใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่สลัดภาพของการอยู่ภายใต้ร่มเงาของอำนาจเผด็จการที่ผ่านมาเท่านั้น หากแต่มีความต้องการที่จะทำให้กองทัพไม่เข้าไปข้องแวะกับการเมือง กลับมาเป็นทหารอาชีพ ทำหน้าที่หลักของตัวเองให้เต็มที่ ด้วยเหตุนี้จึงมีกระบวนการจัดการที่รับรู้กันเป็นการภายใน ประเภทพวกพี่น้องท่านที่เคยข้ามห้วยข้ามหัวกันเป็นว่าเล่นจะเกิดขึ้นได้ยาก

อรชุน

Back to top button