พาราสาวะถี
กำลังจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ (12 ก.ย.) แต่ แพทองธาร ชินวัตร ถูกยื่นร้องเอาผิดสารพัดเรื่องตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบไปแล้ว 10 คำร้อง
กำลังจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ (12 กันยายน) แต่ แพทองธาร ชินวัตร ถูกยื่นร้องเอาผิดสารพัดเรื่องตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบไปแล้ว 10 คำร้อง ถือเป็นงานหนักของทีมกฎหมายรัฐบาลที่นำโดย ชูศักดิ์ ศิรินิล รวมไปถึงทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยด้วย หนีไม่พ้นการตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตาม ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเหล่านั้น ป้องกันคงไม่ทันแล้ว แต่จะเป็นการวิเคราะห์ เจาะลึกว่า มีประเด็นใดสุ่มเสี่ยงที่จะกระทบต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรี สะเทือนเสถียรภาพรัฐบาล จนไปถึงยุบพรรคนายใหญ่หรือไม่
แม้จะเชื่อมั่นในแบ็คอัพที่ว่ากันว่าแน่นปึ้ก แต่การรุมสหบาทากันแบบนี้ เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง เรื่องไม่เป็นเรื่องอาจจะถูกนำไปขยายผลหวังให้จุดติดก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ลำพังการยื่นร้องตรวจสอบเพียงอย่างเดียวนั้น เมื่อพิจารณาจากบุคคล และข้อกล่าวหาที่ทำกันอยู่เวลานี้ ยังไม่มีประเด็นไหนที่น่าหนักใจ ล้วนแล้วแต่เป็นการหว่านแหที่หวังว่าจะมีปลาติดขึ้นมาบ้าง หวังผลจะได้ปลาใหญ่แต่ใช้แหตาถี่มันก็จะได้แต่พวกปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น
ความสำคัญที่เป็นแก่นซึ่งคนส่วนใหญ่เฝ้าติดตามขณะนี้ คงเป็นแนวนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของอุ๊งอิ๊งนั่นเอง โครงส่วนใหญ่อาจจะดูไม่ต่างไปจากที่รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน เคยทำมา หากพิจารณาจากเนื้อหาอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่าในส่วนของนโยบายเร่งด่วนนั้น มีบางเรื่องที่น่าสนใจ ทั้งที่เป็นเรื่องเก่าปรับปรุงใหม่ และจะดำเนินการอย่างเข้มข้น รวมทั้งเรื่องใหม่ที่จะขับเคลื่อนให้เห็นผลเป็นรูปธรรม แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลก่อนหน้าเคยทำไว้ก่อนแล้วแต่ยังไม่เห็นผล
นโยบายที่ปรับแก้เพื่อให้ลดกระแสคัดค้านอย่างหนักหน่วงก่อนหน้า และเป็นสิ่งที่กลุ่มก่อม็อบเคลื่อนไหวอยู่เวลานี้นั่นก็คือ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ครม.นัดแรกจะประชุมกันวันที่ 17 กันยายนนี้ แต่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็จั่วหัวไปก่อนแล้ว จะมีการแจกเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนนำร่องไปก่อน โดย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยคลังระบุ เงินจะเข้าสู่บัญชีโดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ คาดว่าหลังวันที่ 20 ก.ย.นี้เป็นต้นไป แต่ขอรอที่ประชุม ครม.ถกกันก่อน
เป็นเพียงการดึงจังหวะเพื่อไม่ให้เห็นว่ามีการตั้งธงไว้แล้วสำหรับพรรคแกนนำรัฐบาล เมื่อเป็นนโยบายเรือธงของเพื่อไทย ยังไงก็ต้องเดินหน้า ช้าไปก็มีแต่เสียกับเสีย ประเด็นที่น่าสนใจต่อการปรับเปลี่ยนการแจกเงิน 1 หมื่นบาทก็คือ ส่วนของผู้ที่ลงทะเบียนก่อนหน้ากว่า 30 ล้านคนซึ่งไม่ได้อยู่ในกลุ่มเปราะบาง จากคำพูดของผู้จัดการรัฐบาล ระบุว่า จะแบ่งจ่าย 5 พันบาทแรกเป็นเงินสด อีกครึ่งที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะจ่ายแบบไหน เติมใส่กระเป๋าเงินดิจิทัลหรือไม่
แค่เท่านี้ หากเป็นไปตามที่เสี่ยอ้วนว่าจริง รับรองแพทองธารและรัฐบาลถูกร้องระเบิดเถิดเทิงแน่นอน อย่างแรกเลยคือ นโยบายไม่ตรงปก ไม่เป็นไปตามที่หาเสียงไว้คือ จะจ่ายครั้งเดียว ประการต่อมาคือ การแบ่งจ่ายแบบนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่ประกาศไว้อย่างนั้นหรือ ยังมีประเด็นอีกว่า แล้วที่ประกาศจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่ยุคดิจิทัลนั้น ทำออกมาแบบนี้มันไม่น่าจะถูกต้อง แล้วจะเรียกว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้อย่างไร
เข้าใจได้ว่ามีปัญหาเรื่องงบประมาณ และติดกับดักข้อกฎหมายจากความกังวลของหลายฝ่ายที่เคยถูกทักท้วงก่อนหน้านี้ แต่การที่จะปรับเปลี่ยนเพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกเล่นงานนั้น มันน่าจะเสียมากกว่าได้ ในแง่ของการคุยโตไว้ก่อนหน้าว่าหากสามารถขับเคลื่อนโครงการนี้ได้ตามแนวทางที่วางไว้ จะทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ พอปรับกันแบบนี้มันก็จะทำให้เกิดภาพที่เปลี่ยนไป ถ้าถูกฝ่ายค้านจับผิด และชี้ให้เห็นจุดผิดพลาดกันได้แบบจะจะ จากที่หวังว่าจะได้คะแนนนิยมเพิ่มน่าจะเสียรังวัดกันเข้าไปอีก
ขณะที่นโยบายที่เศรษฐาเคยประกาศและสั่งการก่อนที่จะถูกสอยจากตำแหน่งคือ การปราบปรามยาเสพติด รัฐบาลแพทองธารก็ใส่ไว้ในนโยบายเร่งด่วนว่าจะดำเนินการให้เข้มข้น ถอนรากถอนโคนขบวนการค้ายา น่าสนใจว่า จะเหมือนยุค ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อหรือไม่ เพราะครั้งนั้นก็ถูกโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม และกล่าวหาอย่างหนักปมฆ่าตัดตอน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ถือว่าเด็ดขาด ทำให้ปัญหาเบาบางลง ตรงนี้ต้องรอดูว่า รูปแบบ วิธีการทำสงครามกับยาเสพติดจะออกมาแบบไหน ต้องยอมรับกันว่า ในห้วงระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้น ปัญหานี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ทำลายสังคม และส่งผลในแง่เศรษฐกิจด้วย
ที่น่าห่วงในแง่นโยบายเร่งด่วนใหม่คงหนีไม่พ้น การที่จะขุดเอาธุรกิจสีเทาทั้งหลายมาทำให้ถูกกฎหมาย ทั้งกาสิโนถูกกฎหมาย หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ และโครงการหวย 3 ตัว ซึ่งอย่างหลังก็ทำให้นึกถึงกรณีหวยบนดินที่ทำให้ทักษิณมีคดีความติดตัวมาแล้วหลังการรัฐประหารของ คมช. แต่บทเรียนครั้งนั้นน่าจะทำให้รัดกุมกันมากขึ้น ส่วนอย่างแรกต้องไปวัดใจพรรคร่วมรัฐบาลเห็นด้วยหรือไม่ ต้องชั่งใจกันระหว่างศีลธรรมของพวกมือถือสากปากถือศีล กับผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างไหนจะมีน้ำหนัก สมเหตุสมผลมากกว่ากัน
อย่างไรก็ตาม ที่ทำให้รัฐบาลสบายใจหายห่วงคงเป็นเรื่องเสียงในสภาที่ถือเป็นฐานรากในการจะผ่านความเห็นชอบเรื่องสำคัญต่าง ๆ ของรัฐบาล เดิมทีก่อนหน้าอาจเสี่ยงต่อเสียงของพวกลากตั้ง แต่หลังจากที่มี สว.สายสีน้ำเงินแล้ว ทำให้เบาใจกันได้มากโข เห็นได้จากการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ ปี 2568 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผ่านความเห็นชอบกันแบบสบาย ๆ โดยเสียงหนุน 174 เสียงทั้งหมด 200 เสียง ไม่ต้องพูดถึงมือหนุนในสภาผู้แทนราษฎร
เพราะจนถึงขณะนี้พรรคประชาชน ประธานวิปฝ่ายค้าน ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ยังงงอยู่ว่า สส.พรรคพลังประชารัฐที่อยู่ข้างคนบ้านในป่านั้น ยังไม่มีใครแสดงเจตจำนงค์ที่จะร่วมอภิปรายร่างนโยบายของรัฐบาลแม้แต่รายเดียว จนต้องออกมาเรียกร้องบอกกันให้ชัดว่าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ จนล่าสุด ไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาฯ พรรคสืบทอดอำนาจ พูดแล้วว่าจะประสานกับวิปฝ่ายค้านเพื่อร่วมด้วย แต่ดูแล้วเป็นการขยับกันแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ ต้องไปดูหน้างานกันว่าจะอภิปรายได้ดุเด็ดขนาดไหน
อรชุน