พาราสาวะถี
ยืนยันจากโฆษกพรรคเพื่อไทย ดนุพร ปุณณกันต์ จะไม่มีการตั้งองครักษ์พิทักษ์ แพทองธาร ชินวัตร ในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาในวันนี้
ยืนยันจากโฆษกพรรคเพื่อไทย ดนุพร ปุณณกันต์ จะไม่มีการตั้งองครักษ์พิทักษ์ แพทองธาร ชินวัตร ในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาในวันนี้ (12 เมษายน) โดยที่นายกรัฐมนตรีหญิงก็ยกนิ้วโป้งให้สื่อแทนคำตอบหลังจากถูกถามว่ามีการซักซ้อมถ้อยแถลงที่จะชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาพร้อมหรือยัง หากติดตามการให้สัมภาษณ์ไม่ว่าจะกับนักข่าวไทยหรือต่างชาติ ก็น่าจะเห็นกันแล้วว่าลีลาทางการเมืองของอุ๊งอิ๊งนั้นไม่เป็นสองรองใครเหมือนกัน
อาจจะด้วยคร่ำหวอดกับคนในแวดวงการเมืองที่เข้าพบ ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพ่อมาตั้งแต่ยุคตั้งต้นเข้าสู่ถนนการเมือง จนถึงยุคเรืองอำนาจ และหมดอำนาจต้องตะลอนอยู่ในต่างแดน ย่อมซึมซับและรับรู้กระบวนท่า กลวิธีต่อกรทางการเมืองกับฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี โดยที่บรรดากุนซือทั้งหลายก็ได้ผ่านการคัดสรรมาว่าอยู่ในระดับแถวหน้า ดังนั้น จึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ภาพที่คนอยากเห็นคงเป็นการโชว์กึ๋น ประชันวิสัยทัศน์ของแกนนำสุภาพสตรีจากพรรคฝ่ายค้านอย่าง ศิริกัญญา ตันสกุล กับนายกฯ หญิงมากกว่า
แม้ว่าพรรคประชาชนจะเตรียมขุนพลไว้อภิปรายถึง 30 คน กับเวลา 13 ชั่วโมง คงไม่มีอะไรทำให้หนักใจ เพราะไม่ใช่การซักฟอกรัฐบาล ด้วยภาพของความเป็นนักการเมืองและพรรคการเมืองรุ่นใหม่ ทำให้การพูดลักษณะตีกินเหมือนฝ่ายค้านยุคเก่าจะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างที่ตั้งข้อสังเกต ต้องเป็นการชี้แนะ หรือเสนอแนวทางที่ทำให้เห็นว่ามีความเหนือชั้นกว่าฝ่ายกุมอำนาจ ซึ่งนั่นก็เป็นโอกาสที่ทางผู้นำและรัฐมนตรีทั้งหลายจะมีคำตอบที่ตรงกัน พร้อมนำความเห็นที่เป็นประโยชน์ไปประกอบการพิจารณา
ฟากของ สว.ดูจากการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ที่ผ่านมา พวกเสียงข้างน้อยจำเป็นที่จะต้องแสดงบทบาทให้โดดเด่น รักษาภาพ จุดยืนตามที่มาของแต่ละคน แต่ไม่อาจหวังผลในแง่ของการที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพ หรือทำให้ฝ่ายรัฐบาลคล้อยตามในข้อเสนอได้ ในเมื่อเสียงส่วนใหญ่เป็นประเภทว่าไงว่าตามกัน มันจึงทำให้รัฐบาลไม่ต้องกังวล ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลของการต่อรองในแต่ละเรื่องระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลกับพรรคอันดับสองอย่างภูมิใจไทย
จะเห็นได้ว่าการขับเคลื่อนทางการเมืองของทั้งสองพรรคเป็นไปในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย อะไรที่จะเป็นจุดปะทะ จะใช้วิธีการโยนหินถามทางอ่านท่าที ดูทิศทางลมของอีกฝ่าย หากไม่สุดโต่ง ต้องทำให้ได้ ก็จะใช้วิธีประนีประนอม พบกันครึ่งทาง เห็นได้ตั้งแต่เรื่องกัญชาในยุคของ เศรษฐา ทวีสิน จากที่ขึงขังสุดท้ายจบลงด้วยการออกกฎหมายควบคุมการใช้ ซึ่งถึงเวลานี้ก็ยังเป็นไปในแนวทางดังว่า แม้เพื่อไทยจะออกลูกกั๊ก แต่ก็แค่รักษารูปมวย คงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่านี้
ล่าสุด กรณีเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ซึ่งจะมาแทนที่ของ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ที่พ้นจากความเป็น สส.ไป ฝ่ายภูมิใจไทยชงชื่อ ภราดร ปริศนานันทกุล รอไว้อยู่แล้ว บังเอิญมีเหตุต้องเปลี่ยนรัฐบาลกันเสียก่อน แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายนิติบัญญัติ ทางเพื่อไทยก็หาเหตุอ้างว่าควรจะให้ฝ่ายบริหารจัดขบวนเข้ารูปเข้ารอยเสียก่อน จนในที่สุด พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 มาชิงลาออกจากตำแหน่งแบบปัจจุบันทันด่วน ก่อนที่สภาฯ จะมีการประชุมเพื่อเลือกรองประธานฯ คนที่ 1 กันไม่ถึง 24 ชั่วโมง
ดูเหมือนว่าเป็นการเล่นเกมทางการเมือง เพื่อที่พรรคแกนนำจะได้เสนอชื่อคนของตัวเองซึ่งก็คือพิเชษฐ์ให้กลับมาเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 แล้วให้ภราดรจากภูมิใจไทยเป็นรองฯ คนที่สอง การตัดสินใจแบบนี้หากไม่ผ่านการหารือระหว่างแกนนำของสองพรรคมาก่อน ย่อมจะทำให้เกิดการกินแหนงแคลงใจกันอย่างแน่นอน นั่นจึงทำให้ อนุทิน ชาญวีรกูล ยอมรับว่าพรรคยึดตามกติกา และมีมารยาท เรื่องนี้ต้องจบลงแบบนี้ เพราะซีกรัฐบาลก็รู้กันอยู่ว่าพรรคไหนมีคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง สมควรได้รับตำแหน่งที่เหมาะสมไป
กรณีของเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังการเลือกตั้งหนล่าสุดต้องยอมรับกันว่า สถานการณ์ทางการเมือง และกลไกของกฎหมายที่วางไว้ มันเป็นตัวกำหนดให้ผลของการเจรจาจัดสรรตำแหน่งประมุขและรองทั้งสองคนออกมาอย่างที่เห็น เพราะเป็นครั้งแรกที่ในการรวบรวมเสียงเพื่อตั้งรัฐบาล พรรคที่ชนะกับพรรคอันดับ 2 ดันมาอยู่ข้างเดียวกัน จึงทำให้เกิดการขบเหลี่ยม และช่วงชิงตำแหน่งผู้นำในฝ่ายนิติบัญญัติกันขึ้น ก่อนที่จะจบลงแบบพบกันครึ่งทางที่ยกเก้าอี้ให้ตาอยู่ไปแทน
เมื่อเข้าสู่ภาวะที่ควรจะเป็น ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น เป็นภาพที่ต้องบอกว่าหวานชื่นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงเวลาประชุมเลือกรองประธานสภาทั้งสองตำแหน่ง โดยเสี่ยหนูเป็นคนเสนอชื่อพิเชษฐ์นั่งรองประธานฯ คนที่ 1 สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ชงชื่อภราดรเป็นรองประธานฯ คนที่ 2 โดยทั้งคู่ได้รับตำแหน่งแบบไร้คู่แข่งประกบ ตบท้ายด้วยภาพการจับมือของทั้งสองคน มีบรรดา สส.ของสองพรรคมาร่วมยินดีปรีดา ทำให้เห็นว่าสองพรรคแกนนำรัฐบาลกลมเกลียวกันขนาดไหน
หันกลับไปมองพรรคร่วมรัฐบาลครึ่งเดียวอย่างพลังประชารัฐ ตกอยู่ในภาวะปั่นป่วน จู่ ๆ ก็มีคลิปเสียงที่ใครได้ฟังก็ชี้ชัดว่าเป็นคนบ้านในป่า ที่ประกาศกับคู่สนทนาอยากเป็นนายกฯ กับเขาบ้าง จนคนที่ฟังต้องสะกิดว่าให้สื่อออกไปบ้าง ความจริงไม่ต้องส่งสารใด ๆ คนส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้วว่า “ท่านมีความอยาก” น่าจะติดใจตั้งแต่ที่เคยนั่งรักษาการตอนน้องเล็กถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว แต่เก้าอี้ดังว่าไม่ได้เหมือนตำแหน่งผู้นำกองทัพที่จะไปเกาะโต๊ะขอได้
เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่หวัง จึงทำให้เกิดภาพเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ไม่ยอมไปยกมือโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคแกนนำรัฐบาล มิหนำซ้ำ ยังปล่อยให้ลิ่วล้อเที่ยวเล่นงานพวกเดียวกันอีกต่างหาก จากเศรษฐามาถึงแพทองธาร ถ้ามองต่อไปอีกว่าเกิดอุ๊งอิ๊งมีเหตุต้องหลุดจากเก้าอี้ แล้วพรรคร่วมหนุนอนุทินขึ้นเป็นผู้นำ เชื่อว่าน่าจะถูกกระทำในลักษณะที่ไม่ต่างกัน นั่นจึงทำให้เวลานี้คนที่เคยมีอำนาจบาตรใหญ่ยุคเผด็จการครองเมือง เหมือนเป็นที่รังเกียจของพรรคการเมืองและนักเลือกตั้ง ส่วนพวกที่กำลังเมามันกับอาชีพนักร้อง ระวังให้ดีเงินที่ได้จะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่จะเสียไปถ้าถูกตลบหลังเอาคืนบ้าง
อรชุน