‘ทรัมป์ vs แฮร์ริส’ โต้แย้งมากกว่าสาระ.!?
หลังทั่วโลกเฝ้าจับตาการดีเบต (ครั้งแรก) ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้แทนจากพรรครีพับลิกัน และ “กมลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต
หลังทั่วโลกเฝ้าจับตาการดีเบต (ครั้งแรก) ระหว่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้แทนจากพรรครีพับลิกัน และ “กมลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต แต่นักลงทุนค่อนข้างผิดหวังต่อประเด็นนโยบายและสาระสำคัญ ที่ถูกคาดหวังว่าน่า0tได้ใจมากกว่านี้..
สำหรับการโต้วาทีที่ดุเดือด “ทรัมป์” และ “แฮร์ริส” ขัดแย้งกันทุกเรื่อง เริ่มตั้งแต่เศรษฐกิจรวมถึงการย้ายถิ่นฐานและปัญหาทางกฎหมายของทรัมป์ ทั้งคู่ต่างต้องการหาจุดเปลี่ยนต่อการรณรงค์หาเสียงการเลือกตั้งที่สูสีกันและดุเดือด..
การแลกเปลี่ยนจากทั้งคู่นักลงทุนได้รับรายละเอียดใหม่ ๆ เพียงเล็กน้อยกับประเด็นที่อาจส่งผลต่อตลาดทุน รวมถึงเรื่องภาษีศุลกากร, กฎระเบียบและการจัดเก็บภาษีต่าง ๆ
ผู้สังเกตการณ์บางราย ประเมินว่า “แฮร์ริส” ทำผลงานได้ดีเกินคาดและอาจยังส่งผลต่อราคาสินทรัพย์บางส่วน ช่วงหลังจากนี้ หากนักลงทุนตัดสินใจว่านั่นทำให้เธอมีโอกาสมากขึ้นที่จะชนะเลือกตั้งและได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป
โดย PredictIt ตลาดทำนายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2567 ผ่านทางออนไลน์ บ่งชี้ว่า อัตราต่อรองของแฮร์ริสเพิ่มขึ้นเป็น 56% จาก 53% ก่อนการดีเบต ขณะที่อัตราต่อรองของ “ทรัมป์” ลดลงเหลือ 48% จาก 52%
Sonu Varghese นักกลยุทธ์การลงทุนมหภาคระดับโลกจาก Carson Group ระบุว่า “ผมคิดว่าการดีเบตจะไม่เปลี่ยนความคิดของใครหลายคน เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ยังคงมีความเห็นต่างกันอย่างมาก และข้อบ่งชี้เพียงอย่างเดียวคือ “แฮร์ริส” ขึ้นนำในตลาดทำนายผลเพียงเท่านั้น แต่การแข่งขันสูสีอย่างมาก”
นักลงทุนบางส่วนมีความเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในมุมมองของผู้สมัครชิงตำแหน่ง อาจมีความสำคัญอย่างมากในการแข่งขันที่อาจต้องมีการลงคะแนนเสียงหลายหมื่นคะแนนในรัฐเพียงไม่กี่แห่ง
Shier Lee Lim หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ FX และมหภาคประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Convera ระบุว่า “การดีเบตดูเหมือนจะไม่ส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาดทุนจนถึงขณะนี้ สอดคล้องกับความคาดหวังที่มีความผันผวนค่อนข้างต่ำไปจนถึงวันเลือกตั้ง แต่ว่าการดีเบตอาจเป็นตัวเร่งที่มีนัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงความน่าจะเป็นของการเลือกตั้ง”
สำหรับ “ทรัมป์” ให้คำมั่นว่าจะ “ลดภาษีนิติบุคคล” และมีจุดยืนที่เข้มงวดยิ่งขึ้นด้านการค้าและภาษีศุลกากร พร้อมระบุด้วยว่าดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าส่งผลกระทบทางลบต่อสหรัฐฯ แม้นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า นโยบายของเขาอาจกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อและสุดท้ายจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
ขณะที่ช่วงเดือนส.ค.ที่ผ่านมา “แฮร์ริส” มีการร่างแผนปรับขึ้นอัตราภาษีนิติบุคคลจาก 21% มาเป็น 28% ที่ถือว่าเป็นข้อเสนอนักลงทุนบางส่วนในวอลล์สตรีท เชื่อว่าอาจส่งผลกระทบทางลบต่อผลกำไรของบริษัท
การดีเบตครั้งแรก..หลายฝ่ายอาจมองว่า “ทรัมป์” ดูเหมือน “เพลี่ยงพล้ำ” ต่อ “แฮร์ริส” แต่นั่นเองไม่ได้บ่งบอกชัดเจนหรือเป็นตัวชี้ขาดได้ว่า “กมลา แฮร์ริส” จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง เพราะสังเวียนนี้ต้องสู้กันอีกหลายยกกันเลยทีเดียว..!?