TIDLOR รับอานิสงส์แจกเงินสด
TIDLOR โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 1.สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 64% 2.สินเชื่อจำนำทะเบียนรถบรรทุก 18%
คุณค่าบริษัท
บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR โครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 1.สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 64% 2.สินเชื่อจำนำทะเบียนรถบรรทุก 18% 3.สินเชื่อจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ 18% โครงสร้างรายได้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 1.รายได้ดอกเบี้ยรับ 83% 2.รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ 16.8% 3.รายได้อื่น ๆ 0.2%
TIDLOR รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 มีกำไรสุทธิ 1,091.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.71% จากไตรมาส 2/2566 แต่ลดลง 1.15% จากไตรมาส 1/2567 ที่มีกำไรสุทธิ 1,104.07 ล้านบาท กำไรสุทธิไตรมาส 2 ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาดการณ์ แรงกดดันหลักมาจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น 11.9% จากไตรมาส 1/2567 คิดเป็นระดับ Credit Cost ที่ 3.6% เพิ่มขึ้นจาก 3.3% ในไตรมาส 1/2567 หลัง NPL Ratio เพิ่มขึ้นเป็น 1.9% จาก 1.6% ในไตรมาส 1/2567 หลังลูกหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองมีความสามารถในการชำระหนี้แย่ลงในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งได้รับผลกระทบจากราคารถบรรทุกมือสองที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้การตั้งสำรองและผลขาดทุนจากการขายรถยึดขยับสูงขึ้น
TIDLOR ระบุว่า NPL ที่สูงขึ้นในไตรมาส 2/2567 เกิดจากภาวะเศรษฐกิจ และคุณภาพลูกหนี้หลังจากสิ้นสุดการพักชำระหนี้ นอกจากนี้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (สินเชื่อชั้นที่ 2) ไตรมาส 2/2567 เพิ่มขึ้นเป็น 17.3% ของสินเชื่อรวม เทียบกับ 16.5% ในไตรมาส 1/2567 ซึ่งส่งสัญญาณว่า NPL ratio จะสูงขึ้นในไตรมาสต่อ ๆ ไป ส่งผลให้ TIDLOR ปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) มาเป็น 3.57% จาก 3.28% ในไตรมาส 1/2567 และอัตราเงินสำรองต่อหนี้สูญ (coverage ratio) ลดลงมาที่ 227% จาก 264% ในไตรมาส 1/2567 นอกจากนี้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังลดลง 3.9% จากไตรมาส 1/2567 ตามปัจจัยฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบวกหนุนดังนี้ 1.รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่เพิ่มขึ้น 4.1% จากไตรมาส 1/2567 หนุนจาก NIM ที่ปรับตัวขึ้นเป็น 15.7% จาก 15.5% ในไตรมาส 1/2567 หลังเริ่มเห็นผลบวกจากการทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ช่วยชดเชยต้นทุนทางการเงินที่ขยับขึ้นตามการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ที่มีดอกเบี้ยสูงขึ้นจากเดิม บวกกับ TIDLOR สามารถขยายสินเชื่อได้อีก 2.9% จากไตรมาส 1/2567 โดยหลักมาจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่มีความต้องการใช้สินเชื่ออยู่มาก และ 2.บริษัทควบคุมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานได้ดี โดย Cost to Income Ratio ลดลงเหลือ 53.4% จาก 54.1% ในไตรมาส 1/2567 ช่วยให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนตั้งสำรอง (PPOP) เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาส 1/2567
บล.เคจีไอ ระบุว่า นโยบายแจกเงินสดของรัฐบาลที่จะเริ่มจากเดือน ต.ค. ไปจนถึงไตรมาส 1/2568 และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายวันจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า และมองว่ากลุ่ม Non-bank จะเป็นกลุ่มหลักที่ได้อานิสงส์จากสถานการณ์นี้จากความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ที่คลายลง และความสามารถในการขยายสินเชื่อ จึงมองว่าเงินบางส่วนจะถูกนำไปชำระคืนหนี้ที่มีการกู้เพื่อหมุนเงินให้สามารถกู้สินเชื่อส่วนบุคคลต่อได้ และเนื่องจาก TIDLOR ไม่มีภาระในการหาแหล่งเงินทุน จึงน่าจะทำให้ TIDLOR ขยายสินเชื่อได้ดีกว่าคู่แข่ง
ข้อมูลจาก LSEG Consensus สำหรับ TIDLOR ระบุว่า ประมาณการรายได้รวมปี 2567 ที่ 20,032.19 ล้านบาท และประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ที่ 4,328.29 ล้านบาท โดยมีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 18.75 บาท จาก 17 โบรกเกอร์
บล.เคจีไอ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 และ 2568 ขึ้นอีก 12% และ 7% มาที่ 4,152 ล้านบาท และ 4,915 ล้านบาท เพื่อสะท้อนถึง 1.การปรับสมมติฐานประมาณการ credit cost ปี 2567 และ 2568 ลงเหลือ 3.7% และ 3.3% (จากเดิม 4% และ 3.5%) 2.การปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมมาเป็น 11%/14.5% (จากเดิม 5%/10%) นอกจากนี้ยัง re-rate P/E เป็น 14 เท่า (จากเดิม 12.5 เท่า) หรือเท่ากับ –1S.D.
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) หุ้น TIDLOR ราคาปัจจุบัน (ราคาปิดวันที่ 16 ก.ย. 2567 ที่ 18.90 บาท) เทรดที่ P/E 13.42 เท่า ต่ำกว่า P/E กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ที่ 17.16 เท่า ส่วนค่า P/BV ของหุ้น TIDLOR อยู่ที่ 1.84 เท่า สูงกว่า P/BV กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ที่ 1.55 เท่า