พาราสาวะถี

ปิดเกมเรียบร้อยโรงเรียน “บิ๊กอ้วน” รายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลประจำปี จบแต่โดยดี หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


ปิดเกมเรียบร้อยโรงเรียน “บิ๊กอ้วน” รายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลประจำปี จบแต่โดยดี หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นไปตามคาด “บิ๊กปู” พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ เสนาธิการทหารบก เตรียมทหารรุ่น 26 เป็นผู้บัญชาการทหารบก “บิ๊กแมว” พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ เตรียมทหารรุ่น 23 แหวกประเพณีลูกประดู่ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือคนแรกที่จบโรงเรียนนายเรือจากต่างประเทศ

ขณะที่มีสองราย ย้ายหนีจากเก้าอี้ 5 เสือ ทบ.เพื่อไปเป็นใหญ่เป็นโตในปีหน้า นั่นก็คือ “บิ๊กหนุ่ย” พลเอก ธราพงษ์ มะละคำ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เตรียมทหารรุ่น 24 เป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อเตรียมขึ้นเป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม ปี 2568 เช่นเดียวกับ “บิ๊กหยอย” พลเอก อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 24 ย้ายจากผู้ช่วย ผบ.ทบ. ไปเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อเตรียมขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในปีหน้า เป็นอันว่าเผือกร้อนในมือของ ภูมิธรรม เวชยชัย จบลงตามที่เจ้าตัวประกาศคือทุกอย่างจะมีข้อยุติภายในสัปดาห์ที่ผ่านมา

เหลือที่ต้องจับตาคือเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร. ที่ แพทองธาร ชินวัตร จะนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เพื่อพิจารณารายชื่อบุคคลที่อยู่ในข่าย ดูตามหน้าเสื่อหากยึดหลักอาวุโสเป็นลำดับแรก “บิ๊กต่าย” พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.ที่เคยชิมลางนั่งรักษาการ ผบ.ตร.มาแล้วยุครัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ถือว่าเป็นตัวเต็งสำคัญ บวกเข้ากับผลงานที่ผ่านมา และการลดปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กรสีกากี เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย มองทุกแง่มุมถือเป็นคนที่คุณสมบัติเหมาะสมที่สุด

การเมืองว่าด้วยเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายภายใต้กติกาปกติ ที่ไม่มีอำนาจเผด็จการมาครอบงำ มักจะไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปตามกระบวนการ ขั้นตอนที่ควรจะเป็น เวลานี้ที่น่าห่วงสำหรับรัฐบาลจำเพาะเจาะจงลงไปที่พรรคเพื่อไทย คงหนีไม่พ้นปมการขยับจะแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราว่าด้วยมาตรฐานจริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ บอกไว้ตั้งแต่ไก่โห่ แตะเรื่องแบบนี้มีแต่เข้าตัว หนีไม่พ้นถูกโจมตีทำเพื่อตัวเอง เป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบยกไปขยายผล เปิดแผลได้โดยง่าย

ไม่เพียงแต่จะถูกครหา ยัดเยียดข้อหาว่าผลประโยชน์ทับซ้อนแล้ว ต่อไปจะถูกรุกไล่ด้วยข้อกล่าวหามีความพยายามจะไปลดทอน หรือข้องเกี่ยวกับอำนาจขององค์กรอิสระ ดังนั้น หากเป็นการโยนหินถามทางก็ย่อมทำให้เห็นแล้วว่า สมควรเดินหน้าหรือพักวางกันไว้ก่อน เอาเวลาที่เพิ่งเริ่มต้นรัฐบาลอุ๊งอิ๊งไปเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนดีกว่า การเดินหน้าจ่ายเงิน 1 หมื่นบาทที่จะเริ่มตั้งแต่ 25 กันยายนนี้ ยังไงก็ได้คะแนนนิยมมหาศาล

บทเรียนนิรโทษกรรมสุดซอยมีให้เห็นมาแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดันทุรัง เรื่องเซนซิทีฟควรหลีกเลี่ยง อะไรที่รู้ว่าเสี่ยงต้องอยู่ให้ห่าง เห็นกันอยู่ว่าฝ่ายตรงข้ามพยายามที่จะใช้นิติสงครามเล่นงานทุกทาง หากยังไปแตะปมที่เห็นอยู่ว่าศัตรูใช้เป็นอาวุธทำลายล้าง ต้องถือว่าผู้มีอำนาจสั่งการยังไม่เข็ดกับการท้าทาย ต่อให้ผู้หนุนหลังยิ่งใหญ่ขนาดไหน เมื่อมีปมมีช่องให้ฝ่ายถืออำนาจชี้ขาดจัดการได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ของพรรค์นี้คงไม่มีใครจะโง่ซ้ำซาก

หากจะพูดถึงปมจริยธรรม ความรับผิดชอบในหน้าที่ที่อาสามาเป็นตัวแทนของประชาชน คงต้องถามไปยัง พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่ถูก “เด็จพี่” พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ สส.บัญชีรายชื่อของคนบ้านในป่า อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับประมวลจริยธรรมของ สส.ตามข้อร้องเรียนก็คือ สภาฯ มีการลงมติ 16 ครั้ง แต่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ร่วมถึง 13 ครั้ง 

ไม่ต้องคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ว่าเท่าไหร่ เอาแค่กรณีโหวตเลือกนายกฯ สองหนที่ถือเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง แต่คนบ้านในป่าเลือกที่จะล่องหนอ้างว่าติดภารกิจ ในฐานะที่เป็นผู้แทนประชาชนจะมีเรื่องไหนจำเป็นเร่งด่วนกว่านี้อีกไหม ไม่ต้องอ้างสิทธิในการลาประชุมใด ๆ หากไม่ไหวก็ไม่ควรที่จะฝืนสังขารยึดติดหัวโขนไว้แบบนี้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ไม่มีภาระที่จะต้องจัดเลือกตั้งใหม่ให้สิ้นเปลืองภาษีประชาชน แค่ไขก๊อกก็ขยับคนอื่นที่อยู่ในพรรคเดียวกันมาเป็นแทนได้แล้ว

พฤติกรรมเช่นนี้ก็เท่ากับมองไม่เห็นหัวประชาชน หรือลืมไปคิดว่ายังมีอำนาจ บารมีเหมือนที่เป็นพี่ใหญ่ของเผด็จการ คสช.และเผด็จการสืบทอดอำนาจก่อนหน้า จึงไม่จำเป็นที่จะต้องยึดโยงกับประชาชนใด ๆ ไม่ว่าใครก็ตามที่พากันออกมาปกป้อง โดยเฉพาะนักกฎหมายเทวดา กรณีแบบนี้หากใช้วิธีหัวหมอก็ไม่มีใครเอาผิดใด แต่ความเป็นผู้แทนราษฎรถ้าไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเอง มันคือการเสียศักดิ์ศรี ไร้เกียรติ อยู่ไปก็ไม่มีความสง่างาม เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่สำเหนียก สำนึก ไม่ใช่ว่าถูกหรือผิดกฎหมาย ยิ่งตะแบงยิ่งทำให้คนรู้เช่นเห็นชาติ มองกันขาดว่าอยู่ไปเพื่อหวังผลอะไร

นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นเรือธงของเพื่อไทย หลังการเดินหน้าแจกเงินกับกลุ่มเปราะบางและผู้พิการ 14.5 ล้านคนไปแล้ว ผู้ที่ลงทะเบียนไว้ก่อนหน้า 36.4 ล้านคน ที่รัฐบาลก่อนหน้าเคยบอกว่าจะประกาศผล 22 กันยายน และกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนที่บอกว่าจะเปิดให้ลงทะเบียนหลังจากกลุ่มมีสมาร์ทโฟน แต่ทั้งสองถูกประกาศว่าเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ตรงนี้ต้องชัดว่าจะเอาแบบไหน ล้มกระดานกันไปเลย แล้วหาวิธีการใหม่ หรือยังจะใช้ฐานข้อมูลเดิมเดินหน้าต่อ

คำยืนยันจาก จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยคลังที่ว่า รัฐบาลตั้งใจจะแจกแน่นอน ผ่านระบบวอลเล็ต เพื่อต้องการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล แต่การเลื่อนทุกอย่างออกไปแบบไม่มีกำหนด มิหนำซ้ำ ยังมีการยอมรับว่าได้ยกเลิกประมูลระบบการชำระเงินของแอปพลิเคชันทางรัฐไปแล้ว และจะเปิดประมูลใหม่ ทั้งหมดมันคือการยืดเยื้อซื้อเวลา ถ้าจะกระตุ้นเพื่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทำกันแบบนี้มันใช่หรือ บางเรื่องควรจะกล้ากลับหัวหด แต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่องเห็นขยันทำกันจริง

อรชุน

Back to top button