YGG เพื่อน (ทิ้ง) ตามเพื่อน.?

หลังจากเกิดโศกนาฏตกรรมกับหุ้น YGG ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ “ธนัช” นำหุ้นที่ตัวเองถือไปตึ๊งแล้วถูกบังคับขาย จนทำให้ราคาหุ้นดิ่งนรก


หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมกับหุ้นบริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ “ธนัช จุวิวัฒน์” นำหุ้นที่ตัวเองถือไปตึ๊งแล้วถูกบังคับขาย หรือ “ฟอร์ซเซลล์” จนทำให้ราคาหุ้น YGG ดิ่งนรก ฟลอร์แล้วฟลอร์อีก จากเมื่อก่อนเคลื่อนไหวอยู่ที่ 6-7 บาท กะพริบตาอีกที กลายเป็นหุ้นไม่เต็มบาทไปซะแล้ว…

ส่วนตัว “ธนัช” ก็หลุดจากทำเนียบผู้ถือหุ้นใหญ่ และความเป็นเจ้าของบริษัททันที โดยข้อมูล ณ วันที่ 19 ก.ค. 2567 เหลือถือหุ้นแค่ 5.8 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.96% จากเดิมถือ 247.68 ล้านหุ้น คิดเป็น 41.143%

ไม่หมดเท่านั้น ยังตามมาด้วยปัญหางบการเงิน และขาดสภาพคล่องอย่างหนัก จนทำให้บริษัทไม่สามารถชำระหนี้สถาบันการเงินได้ซ้ำเติมอีก

ขณะที่ ความเคลื่อนไหวของ YGG ล่าสุดได้มีการชำระหนี้ไปบางส่วนแล้ว พร้อมเจรจากับแบงก์ขอผ่อนจ่ายหนี้แบ่งเป็น 4 งวดด้วยกัน

ดูเหมือนสถานการณ์จะดีขึ้นนะ..!! แต่เอ๊ะ…มาสะดุดตาปลาก็ตรงที่ “ศรุต ทับลอย” ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 (ขึ้นมาแทนที่ “ธนัช”) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามรายงานแบบ 246-2 ว่า เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2567 ได้ขายหุ้นจำนวน 3.59 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.5969% ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.03 บาท รวมมูลค่า 3.70 ล้านบาท ส่งผลให้เหลือถือหุ้น 30.04 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.9910% จากเดิมถืออยู่ 33.63 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.5879%

แต่นั่นไม่ใช่ครั้งแรก…มันพรางตาอยู่นะ เพราะถ้าไปดูในเว็บไซต์ก.ล.ต. (ในรายงานแบบ 59) “ศรุต” ดอดขายหุ้นมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถ้ารวมกับรายการที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยก็ 5 ครั้งแล้วนะ…ไล่มาตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. ขายก้อนแรก 6.38 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.0695 บาท รวมมูลค่า 6.82 ล้านบาท ถัดมาวันที่ 20 ก.ย. ขายก้อนที่สอง 5.96 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.0161 บาท รวมมูลค่า 6.06 ล้านบาท

ทิ้งช่วงไปแค่ 3 วันทำการ วันที่ 26 ก.ย. ขายอีกก้อนจำนวน 500,000 หุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.03 บาท รวมมูลค่า 515,000 บาท และวันที่ 30 ก.ย. 2567 ขายอีกจำนวน 2.19 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 0.97 บาท รวมมูลค่า 2.12 ล้านบาท…รวม 5 รายการ คิดเป็นมูลค่า 19.21 ล้านบาท โดยทุกธุรกรรมทำรายการผ่านบล.หยวนต้า (ประเทศไทย)

งั้นถ้าดูตามนี้ “ศรุต” ก็จะเหลือถือหุ้นจริง ๆ แค่ 27.85 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.6263% ไม่ใช่เหลือถือหุ้น 30.04 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.9910% ตามที่แจ้งตลาดฯ ในรายงานแบบ 246-2 หรอกนะ…

น่าแปลก…ทำไมทุกธุรกรรมที่ขายถึงไม่รายงานแบบ 246-2 ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ นะ ทั้ง ๆ ที่ “ศรุต” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของ YGG แท้ ๆ…หรือไม่เข้าเกณฑ์ให้ต้องรายงานแบบ 246-2 อ๊ะป่าว..??

ว่าแต่ตลท.กับก.ล.ต.ไม่รู้เหรอว่า โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนจะไม่ได้เข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ก.ล.ต.นะ ถ้าจะเห็นข้อมูลก็ผ่านเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ นี่แหละ…ตรงนี้จะเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ข้อมูลรอดหูรอดตานักลงทุนไปหรือเปล่า..?? ฝากพิจารณาด้วยละกัน

กลับมาที่การขายหุ้นของ “ศรุต” น่าคิดนะว่าทำไมต้องขาย..??

ถ้าให้เดา อาจขายทำกำไร…เพราะไม่ว่าจะขายที่ราคาไหน..?? ก็ได้กำไรทั้งนั้น เนื่องจากมีต้นทุนหุ้น YGG เพียง 0.50 บาท (คำนวณจากราคาพาร์) ดังนั้นถ้ากดเครื่องคิดเลขดูแล้ว จากการขายหุ้นทั้ง 5 ครั้ง น่าจะฟันกำไรไปราว 9.89 ล้านบาท

หรือจะขายเพื่อหนีตาย..?? เพราะดูสถานการณ์แล้วไม่สู้ดี งั้นเผ่นดีกว่า..!?

ส่วนกรณีการถูกฟอร์ซเซลล์…อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ถ้าดูข้อมูล ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2567 ไม่พบหุ้น YGG ถูกวางบัญชีมาร์จิ้นแล้วนะ…คงหมดแล้วมั้ง

งั้นถ้าจะบอกว่า “ศรุต” กำลังเดินตามรอยเพื่อน “ธนัช” ก็อาจไม่ผิดนัก…แม้ลักษณะการขายจะแตกต่างกัน

แต่ที่เหมือนกัน วันนี้ทั้งคู่เหลือหุ้นในมือน้อยมั๊ก ๆ ๆ ๆ

เท่ากับว่า YGG จะกลายเป็นของคนอื่นไปแล้วเหรอเนี่ย..?? น่าเสียดายจัง…

…อิ อิ อิ…

Back to top button