Apple ก้าวสู่ภาพยนตร์สตรีมมิ่ง
การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีการเผยแพร่ภาพและเสียงด้วยระบบอินเทอร์เน็ต (Streaming) ทำให้การรับข่าวสารและบันเทิงรูปแบบเดิมทั้งทีวี, วิทยุ, โรงภาพยนตร์ลดบทบาทและความสำคัญลงอย่างมีนัยสำคัญ
การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีการเผยแพร่ภาพและเสียงด้วยระบบอินเทอร์เน็ต (Streaming) ทำให้การรับข่าวสารและบันเทิงรูปแบบเดิมทั้งทีวี, วิทยุ, โรงภาพยนตร์ลดบทบาทและความสำคัญลงอย่างมีนัยสำคัญ ตลอดช่วงเกือบทศวรรษที่ผ่านมา และมีโอกาสถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง..
โดย Streaming มีการเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Youtube, Facebook, Instagram, Netflix โดยไม่ต้องดาวน์โหลดข้อมูลทั้งหมด เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถรับชมได้ง่าย ๆ ผ่านอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ แตกต่างจากการรับชมระบบเดิม ที่ผู้ชมไม่สามารถเลือกชมสิ่งที่ตนเองสนใจได้
อย่างกรณี “ภาพยนตร์” ที่เผยแพร่ผ่าน Streaming มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ..!!
โดยปี 2567 ตลาดภาพยนตร์สตรีมมิ่ง มีมูลค่ามากกว่า 670,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 22 ล้านล้านบาท) อัตราเติบโตเฉลี่ยเกือบ 18% และมีการประเมินว่าปี 2575 มูลค่าตลาดภาพยนตร์สตรีมมิ่ง จะเพิ่มเป็น 2.49 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 82 ล้านล้านบาท) และในสหรัฐฯ มีภาพยนตร์สตรีมมิ่งมากถึง 800,000 เรื่อง
สำหรับ “ภาพยนตร์สตรีมมิ่ง” มีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Netflix ขยายตัวอย่างร้อนแรงตลอดปีที่ผ่านมา ด้วยจำนวนสมาชิกก้าวสู่ระดับ 280 ล้านราย รายได้อยู่ที่ 9,560 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 315,480 ล้านบาท) เติบโต 17% เป็นการเติบโตอย่างรวดเร็ว (Rapid Growth) สูงกว่าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก
นั่นทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่..ต่างสนใจเข้าสู่ธุรกิจนี้ต่อเนื่อง..!!
กรณีล่าสุดค่าย Apple บริษัทผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะผู้ผลิต iPhone ตอบรับแนวโน้มนี้เช่นเดียวกัน
ด้วยการเปลี่ยนแผนใช้งบลงทุนผลิตภาพยนตร์ปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 33,000 ล้านบาท) เพื่อเข้าสู่ธุรกิจสตรีมมิ่งมากขึ้น
ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาใช้เงินมากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 650,000 ล้านบาท) ในการสร้างภาพยนตร์และรายการทีวีแต่ไม่ได้รับความนิยม ล่าสุดภาพยนตร์เรื่อง Wolfs ถูกนำมาฉายผ่าน AppleTV+ ช่วยปลายเดือนที่ผ่านมา
สำหรับปี 2565 ความพยายามของ Apple ได้รับความนิยมจากนักวิจารณ์หนังเรื่อง CODA ในระบบสตรีมมิ่งคว้ารางวัล ออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
หลังจากนั้นมีอีกหลายเรื่องที่ช่วงหลังหาดูไม่ได้ในโรงภาพยนตร์ เช่น Argyle ที่ลงโรงเดือนก.พ.แต่ถูกมองว่าล้มเหลว เพราะทำรายได้เพียง 96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,120 ล้านบาท) จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก
แต่กลับประสบความสำเร็จในการฉายทาง Apple TV+ แต่เมื่อเทียบกับต้นทุนสร้าง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 16,250 ล้านบาท…ถือว่าไม่คุ้มทุน..!!
สิ่งที่น่าสนใจ คือ การตัดสินใจของบริษัทผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะผู้ผลิต iPhone ระบุว่า จะสร้างหนังประมาณ 12 เรื่องต่อปี ส่วนใหญ่มุ่งฉายทาง Apple TV+ ใช้ทุนสร้างน้อยกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,250 ล้านบาท) ต่อเรื่องอาจไม่ใช่ข่าวที่แฟนหนังต้องตื่นเต้น
เมื่อ “มองมุมธุรกิจ” ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล…!!
ความท้าทายของ Apple คือภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล 3 เรื่องคือ Argylle, Killers of the Flower Moon ของ Martin Scorsese และ Napoleonของ Ridley Scott ทำเงินจากทั่วโลกได้ 476 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 15,470 ล้านบาท) แต่ต้นทุนการผลิตไม่ต่ำกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 22,750 ล้านบาท)
อย่างไรก็ดีหากดูแนวโน้มการเติบโตของ “ภาพยนตร์สตรีมมิ่ง” ข้างต้นอาจลดทอนผลขาดทุนของ Apple ในอนาคตได้เช่นกัน..!!