มองหุ้นไทยไตรมาส 4/67

แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ยังมีความคาดหวังในทิศทางขาขึ้น โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมนี้


เส้นทางนักลงทุน

แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET index) ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ยังมีความคาดหวังในทิศทางขาขึ้น โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมนี้ เนื่องจากเม็ดเงินจากกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท จะทยอยเข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อ SET Index

ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจากปัจจัยบวกในประเทศ ทั้งความชัดเจนมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ให้กับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน การระดมทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง ยอดจองล้นจากนักลงทุนรายย่อยและสถาบันในประเทศ

นอกจากนี้ ปัจจัยต่างประเทศ การที่ธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ลง 0.50% และส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในขาลงในอีก 2-3 ปีข้างหน้า รวมถึงการที่รัฐบาลจีนประกาศผ่อนคลายนโยบายการเงินครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 (COVID-19) เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจจีนในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา จะเป็นปัจจัยสนับสนุน

 

โบรกฯ มองหุ้นไทยไปต่อ

โดยบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) มองว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคมนี้มีโมเมนตัมการปรับขึ้นของ SET index แต่อาจชะลอตัวลงจากช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนตอบรับปัจจัยบวกต่าง ๆ แล้ว ดังนั้นจึงรอดูสถานการณ์ และติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนนี้

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยจะไม่ลดลงมากนัก เพราะยังมีปัจจัยช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลง (Downside) เช่น กองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ตลอดจนแนวโน้มกระแสเงินทุนไหลเข้า จากการที่เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าตลอดไตรมาส 4 ปี 2567

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ประเมินหุ้นไทยช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะทรงตัวจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดย Downside จะถูกจํากัดจากสภาพคล่องเอ่อล้น มองกรอบแนวต้านของ SET Index ที่ระดับ 1,480 จุด และ 1,520 จุด

สภาพคล่องจากเม็ดเงินบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) มีแนวโน้มไหลกลับเข้าสู่ประเทศ บางส่วนอาจไหลเข้ามาในตลาดทุนไทย หลังเฟดเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของทั้ง 2 ประเทศมีแนวโน้มปรับลงต่อ

ขณะที่ ในประเทศสภาพคล่องที่เกิดจากนโยบายเสริมสร้างเสถียรภาพในตลาดหุ้น ทั้งกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ที่เริ่มเข้ามาตั้งแต่เดือนตุลาคม รวมถึงเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีต่าง ๆ เช่น กองทุน Thai ESG และกระแสเงินทุนต่างชาติไหลกลับ จะผลักดันตลาดหุ้นไทยให้เดินหน้าต่อไปได้

อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) อาจไม่สามารถปรับขึ้นมาตามราคาได้ทัน และแนวโน้ม (Sentiment) เชิงบวกจากปัจจัยแวดล้อมอาจเริ่มลดลง จึงมีโอกาสที่ SET Index อาจปรับฐานในอนาคต แต่คาดว่าจะไม่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 นี้ เพราะมีแรงสนับสนุนด้านปัจจัยสภาพคล่องอยู่

 

หุ้นเด่นไตรมาส 4/67

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ 5 หุ้นน่าลงทุนในเดือนตุลาคมนี้ ประกอบด้วย 1.CPAXT เพราะจะได้อานิสงส์จากมาตรการแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดกำไรทั้งปีนี้จะเพิ่มขึ้น 31% และ 18% ในปี 2567-2568

2.BH คาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาส 3 นี้ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนในประเทศไทย ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาใช้บริการ และคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้รายได้และความสามารถในการทำกำไร (Margins) เพิ่มขึ้น

3.CBG ได้อานิสงส์จากการบริโภคในประเทศดีขึ้น ยอดขายในไตรมาส 3 นี้ จะเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น และมีรายได้จากการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นตามการขยายช่องทางการจำหน่ายเบียร์คาราบาวทั้งแบบ modern และ traditional trade

4.SHR ดอกเบี้ยที่ลดลงทุก ๆ 0.25% จะทำให้กำไรปี 2568 เพิ่มขึ้น 12% ช่วงพีก (peak) ตามฤดูกาลท่องเที่ยวในประเทศไทยและมัลดีฟส์กำลังจะเริ่มในไตรมาสแรกของปี 2568

5.TRUE กำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสก่อน ตามต้นทุนลดลง ผู้ใช้บริการต่อเลขหมาย (ARPUs) ที่เพิ่มขึ้น และอานิสงส์จากการเกื้อหนุน (synergy) โดย EBITDA margins จะทรงตัวอยู่ที่ 47.7% มองไตรมาส 4 ปีนี้จะเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการดีที่สุด

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ชอบหุ้นอิงกับการเติบโตเศรษฐกิจในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก อสังหาฯ ไฟแนนซ์ จากคาดหวังปัจจัยกระตุ้นด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐ แนะนําหุ้นประจําไตรมาส 4/2567 ได้แก่

1.กลุ่มเข้าสู่ไฮซีซั่น (High season) ของการบริโภคและการท่องเที่ยว เลือก HMPRO, ERW 2.กลุ่มหุ้น Domestic ที่มีเงินปันผลสูง และยังคงมีมูลค่า หรือ Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เลือก AP, ICHI

3.กลุ่มกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) เลือก DIF, CPNREIT 4.กลุ่มหุ้นจะถูกนําเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไป เลือก COM7, SAWAD และ 5.กลุ่มหุ้นได้อานิสงส์ หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เลือก AEONTS, KTC

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ เลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ซึ่งในทางกลยุทธ์ประเมินหุ้นที่เม็ดเงินกองทุนฯ ดังกล่าวเข้าหนุนในเชิงพื้นฐานมากกว่า 10% และเป็นหุ้น NVDR ซื้อสุทธิแต่กำไรไม่มาก (กำไรน้อยกว่า 5%) เช่น CPN, CK, BEM, BH และ CPF เป็นต้น

จากมุมมองของโบรกเกอร์เหล่านี้ สะท้อนว่าหุ้นไทยไตรมาส 4 ปี 2567 แม้ไม่หวือหวา แต่ยังไปต่อ

Back to top button