ดอลลาร์แข็งเทียบเยน

ค่าเงินดอลลาร์ยังคงอาละวาดต่อไปเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแสดงอาการแกร่งเกินคาด


ค่าเงินดอลลาร์ยังคงอาละวาดต่อไปเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนที่พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 3 เดือน เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแสดงอาการแกร่งเกินคาด ทำให้ค่าเงินเยนต้องกลายเป็นเหยื่อของอัตราแลกเปลี่ยน

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแกว่งตัวในกรอบ 152 เยนในการซื้อขายที่ตลาดโตเกียวช่วงเช้าวานนี้ (24 ต.ค.) หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ 153.19 เยนที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนวานซืน ภายหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางข้อมูลเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งที่มีการเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ณ เที่ยงวานนี้ตามเวลาโตเกียว ดอลลาร์เคลื่อนไหวที่ 152.43-152.44 เยน เทียบกับ 152.71-152.81 เยนในนิวยอร์ก และ 152.35-152.37 เยนในโตเกียว เมื่อเวลา 17.00 น. ของเมื่อวานซืน

การที่ค่าเงินเยนอ่อนยวบ มาอยู่ที่ระดับ 150 เยนต่อดอลลาร์  ถือว่าเป็นจุดที่ค่าเงินเยนอ่อนยวบจนกระทั่งเงินเยนเป็นเงินไร้ค่าพิเศษ ถือเป็นปรากฏการณ์พิเศษที่ทำให้ญี่ปุ่นสบช่องทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงมาเสมือนหนึ่งเป็นธรรมชาติ  ซึ่งปรากฏการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในข้อตกลงที่โรงแรมพลาซาอันโด่งดังในปี 1987 ที่ญี่ปุ่นถูกบังคับให้ปรับค่าเงินเยนให้แข็งขึ้น จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าการไหลออกของเงินเยนมายังประเทศแถบเอเชียโดยเฉพาะไทยในสมัยรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ  แต่คราวนี้รัฐบาลสหรัฐฯ คงจะไม่มีมาตรการบีบบังคับให้ญี่ปุ่นปรับค่าเงินเยนให้สูงขึ้นแบบข้อตกลงพลาซา ซึ่งญี่ปุ่นถูกบีบให้ปรับค่าเงินเยนให้แข็งขึ้นจาก 140 เยนต่อดอลลาร์ ให้เหลือ 115 เยนต่อดอลลาร์อย่างกะทันหัน

ข้อตกลงพลาซา (Plaza Accord) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ปฏิญญาระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ เป็นข้อตกลงระหว่าง 5 ประเทศอุตสาหกรรมหลัก อันได้แก่ ฝรั่งเศส, เยอรมนีตะวันตก, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นและเยอรมนีเพิ่มค่าเงินของตัวเองเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาลทั้งห้าประเทศได้ลงนามข้อตกลงนี้ในวันที่ 22 กันยายน 1985 ที่โรงแรมพลาซา ในนครนิวยอร์ก

ข้อตกลงครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่เยอรมนีตะวันตกและญี่ปุ่นได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมหาศาล สหรัฐฯ ประสบภาวะขาดดุลการค้าถึงร้อยละ 3.5 ของมูลค่าเศรษฐกิจประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากสินค้าอเมริกาถูกประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ ชิงส่วนแบ่งในตลาดโลกเป็นจำนวนมาก รัฐบาลของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน จึงวางแผนที่จะลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลงเพื่อให้สินค้าของสหรัฐฯ ในสายตาของชาวโลกมีราคาถูกลง

การลงนามข้อตกลงพลาซาส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งปีห้าเดือน จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ 1987 มีการทำข้อตกลงลูฟวร์เพื่อยับยั้งการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนค่าลงกว่าร้อยละ 51 เมื่อเทียบกับเงินเยนนับตั้งแต่ข้อตกลงพลาซาบังคับใช้

ข้อตกลงนี้ส่งผลให้ญี่ปุ่นและเยอรมนีสามารถซื้อหาสินค้าต่างประเทศได้ในราคาถูกลงเกือบเท่าตัว แต่ในทางตรงข้าม สินค้าญี่ปุ่นในสายตาชาวโลกก็มีราคาแพงขึ้นเท่าตัวด้วยเช่นกัน ในระยะแรกดูเหมือนสินค้าญี่ปุ่นยังคงขายได้แม้มีราคาแพงขึ้นมาก ทั้งนี้เนื่องจากคุณภาพสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่นมีความโดดเด่นจนไม่อาจทดแทนด้วยสินค้าจากที่อื่น แต่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมีการขยายตัวในอัตราที่ลดลงในระยะยาว

เมื่อภาคการผลิตในญี่ปุ่นทำผลกำไรลดต่ำลง จึงเกิดการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่าและขนส่งได้สะดวก ซึ่งก็คือกลุ่มอาเซียน4 (อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์ และไทย) หลายบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นต้องปลดคนงานราวหนึ่งในสาม มีการกู้ยืมเงินเพื่อการเก็งกำไรในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจนเกิดเป็นภาวะฟองสบู่และสุดท้ายฟองสบู่ก็แตกจนเศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซาติดต่อกันถึงสองทศวรรษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990–2010 ซึ่งเรียกยุคนี้ว่า “สองทศวรรษที่หายไป” (The Lost 2 Decades)

อีกด้านหนึ่ง ประเทศเยอรมนีตะวันตกไม่ได้รับผลกระทบจากข้อตกลงพลาซาหนักหนาเท่าญี่ปุ่น เนื่องจากเยอรมนีตะวันตกมีนโยบายรักษาระดับราคาสินค้าให้คงที่ ภาครัฐส่งเสริมการวิจัยและการยกระดับคุณภาพสินค้าส่งออก ตลอดจนมีกลไกการเชื่อมโยงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในประชาคมยุโรป ภาคการส่งออกของเยอรมนีจึงยังคงสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนภายหลังมีข้อตกลงพลาซา นอกจากนี้ก็มีการกำกับดูแลตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างเข้มงวด เศรษฐกิจเยอรมนีจึงไม่เกิดภาวะฟองสบู่เหมือนญี่ปุ่น

บทเรียนจากข้อตกลงพลาซาคงจะไม่เกิดซ้ำอีกเพราะคราวนี้ญี่ปุ่นไม่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ ชัดเจน เมื่อเทียบกับจีนซึ่งเป็นคู่กรณีใหม่ของสหรัฐฯ  ดังนั้นการแข็งค่าของเงินเยนคงจะไม่เกิดขึ้น

วิษณุ โชลิตกุล

Back to top button