ต้องหนีตายแล้ว!

ในเมื่อดัชนีหลุดเส้นแนวรับ 25 วันที่บริเวณ 1,460 จุดลงมาแบบไร้ทางสู้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องบากหน้าซื้อหุ้นอีกต่อไป


ในเมื่อดัชนีหลุดเส้นแนวรับ 25 วันที่บริเวณ 1,460 จุดลงมาแบบไร้ทางสู้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องบากหน้าซื้อหุ้นอีกต่อไป เพราะถ้าเชื่อในมุมของสัญญาณเทคนิค ก็เป็นจังหวะที่ต้องหนีตายแบบไม่คิดชีวิต หลังเส้นแนวรับถัดมาบริเวณ 75 วันอยู่แถว 1,385 จุด ซึ่งเป็นแก๊ปที่ค่อนข้างกว้างเกินไปสำหรับการเข้าไปลงทุนในจังหวะนี้ ผนวกกับบรรดากองทุนถอยฉากกันเป็นแถว จึงทำให้ภาพของการลงทุนขมุกขมัวอีกครั้งพะย่ะค่ะ

ประเด็นดังกล่าวดูได้จากหุ้นใหญ่ออกอาการอ่อนล้าอย่างชัดเจน และการไหลรูดของดัชนีลงมายืนปิดที่ระดับ 1,453.03 จุด ลบไป 10.39 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.59 หมื่นล้านบาท ก็เป็นการบอกให้นักลงทุนรู้ว่า อย่าซ่าให้มากเกินตัว เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนเมื่อก่อน “โมนิก้า” จึงต้องยอมถอยเพื่อไปตังหลัก หลังนักลงทุนเริ่มเม้าท์ถึงประเด็นลบมากขึ้นน่ะซี

โดยเฉพาะแรงกดดันจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่เริ่มตื้อ ๆ ตัน ๆ รวมถึงแนวโน้มการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะออกมาในรูปไหน? ล้วนเป็นตัวแปรที่ทำให้นักลงทุนเลือกเทขายหุ้นเพื่อรอดูสถานการณ์กันเป็นแถว “โมนิก้า” จึงไม่อยากทำตัวสวนกระแสในจังหวะที่ทุกอย่างไม่เป็นเหมือนที่ประเมินไว้ เพราะเห็นกันทนโท่ว่า ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยขึ้นด้วยเรื่องมันนี่เกมแบบสุดซอยไงล่ะคะ

เรื่องดังกล่าวดูได้จากอาการสะดุดของหุ้น DELTA ทั้งที่ตั้งลำขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่วานนี้ดันโดนกดตูมเดียวจนราคาหุ้นลงมายืนอยู่ที่ระดับ 127 บาท ลบไป 9.50 บาท หรือลงไป 6.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.28 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ต้องทำใจอย่างเดียว เพราะการขึ้นก่อนหน้านี้มาจากความเชื่อที่ว่า ยอดขายและกำไรจะโตต่อเนื่อง แต่พอมีเรื่องเศรษฐกิจอาจชะลอตัวเข้ามากระทบ ก็ทำให้นักเล่นวงแตกทันทีเจ้าค่ะ

เช่นเดียวกับแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่น้องท็อป TOP ก็เป็นผลมาจากความชะล่าใจของผู้บริหารระดับสูง ที่ไม่ลงมาดูรายละเอียดงานก่อสร้างมีปัญหา จนทุกคนลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า รายได้และกำไรในอนาคตมีปัญหาอย่างแน่นอน จึงเทขายหุ้นหนีตายกันจ้าละหวั่น จนวานนี้ราคาหุ้นลงมายืนอยู่ที่ระดับ 41.50 บาท ลบไป 2.50 บาท หรือลงไป 5.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.43 พันล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 4 ปีแบบนี้..ตายหยังเขียดแน่ ๆ จ้า!

เหมือนกับในรายของพ่อดอกมะลิ JAS ก็ตกอยู่ในภาวะหัวทิ่มดินร่วมเดือนแบบนี้ “โมนิก้า” ต้องรู้สึกหวั่นใจมากขึ้นเป็นธรรมดา เพราะการขึ้นของหุ้นในช่วงหลัง ๆ มักมาด้วยมันนี่เกมเป็นหลัก ขณะที่พื้นฐานทางธุรกิจยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เดี๊ยนเลยสังหรณ์ใจว่า การยืนปิดที่ระดับ 2.22 บาท ลบไป 0.06 บาท หรือลงไป 2.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 121 ล้านบาท อาจไม่ใช่โลว์ของเที่ยวนี้นะนายจ๋า!

คล้ายกับสถานการณ์ของหุ้น AP ที่เทรดหุ้นกันตามปกติ 7 วันทำการ แต่ราคาหุ้นดันร่วง 6 วันต่อเนื่องแบบนี้ “โมนิก้า” ถึงกับต้องไปดูโลว์เก่าที่บริเวณ 7.50 บาทเป็นลำดับแรก ซึ่งบางคนอาจมองว่า เดี๊ยนมีอาการวิตกจริตมากเกินไปหรือเปล่า? แต่มันเป็นเรื่องที่อีฉันต้องพูดไว้ก่อน หลังราคาหุ้นลงมายืนที่ระดับ 9.30 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 2.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 175 ล้านบาทไงล่ะจ๊ะ

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้นเครื่องดื่มชูกำลังอย่าง OSP ขึ้นมาทันที เพราะรายนี้ก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากรายก่อน ๆ แถมราคาหุ้นยังทรุดตัวลงแรง พร้อมกับข่าวบันทึกขาดทุนโรงงานแก้วที่พม่าแบบนี้ เดี๊ยนถือเป็นแรงกดดันที่ทำให้นักเล่นคิดหนักพอสมควรว่า การยืนปิดเสมอตัวที่ระดับ 20.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 234 ล้านบาท เป็นการรับรู้ข่าวลบแบบสุด ๆ แล้วใช่ไหม?..ใครรู้ช่วยตอบหน่อยจ้ะ

ไหน ๆ ก็ต้องหาคำตอบกันทั้งที “โมนิก้า” ขอเอ่ยถึงหุ้น KLINIQ กันอีกสักหน่อย เพราะโมเมนตัมของหุ้นในช่วงหลัง ๆ ดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย และการถูกรินขายออกมาเรื่อย ๆ จนวานนี้โดนสาดโครมเดียวลงมากองอยู่ที่ 32 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 4.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 74 ล้านบาท มันกลายเป็นประเด็นที่ทำให้แมงลือเม้าท์กันให้แซ่ดว่า หุ้นมีโอกาสลงไปหาโลว์เดิมที่บริเวณ 28 บาทแบบนี้..น่ากลัวม๊าก!

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button