เกาไม่ถูกที่คันแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น
ไม่รู้ว่า ซีอีโอใหญ่ระดับสตรีเหล็กอย่าง นางสาวสุณี เสรีภาณุ ที่นั่งควบ 2 ตำแหน่งทั้งประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC ได้รับคำชี้แนะจากปรมาจารย์ตลาดทุนที่ไหน จึงเน้นย้ำอยู่เสมอว่า จะต้องทำให้มาร์เก็ตแคปของตลาดโป่งพองมากขึ้น จนรักษาภาพลักษณ์ของการเป็นบริษัทใน SET100
ไม่รู้ว่า ซีอีโอใหญ่ระดับสตรีเหล็กอย่าง นางสาวสุณี เสรีภาณุ ที่นั่งควบ 2 ตำแหน่งทั้งประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC ได้รับคำชี้แนะจากปรมาจารย์ตลาดทุนที่ไหน จึงเน้นย้ำอยู่เสมอว่า จะต้องทำให้มาร์เก็ตแคปของตลาดโป่งพองมากขึ้น จนรักษาภาพลักษณ์ของการเป็นบริษัทใน SET100
เหตุผลหลักคือ ล่อใจนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาถือหุ้นเพื่อทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นน่าสนใจ
สิ่งที่ “สุณี” ไม่พยายามเข้าใจคือ หุ้นบริษัทที่มียอดขายต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปีอย่าง MC นั้น จุดขายสำคัญไม่ได้อยู่ที่มาร์เก็ตแคป เพราะว่า ใหญ่แค่ไหนก็สู้หุ้นแบงก์หรือหุ้นใน SET50 ไม่ได้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน
กุญแจสำคัญจึงต้องเน้นหนักไปที่เรื่องของกำไรและการเติบโตของกิจการในฐานะที่เป็นหุ้นเติบโตเร็วและต่อเนื่อง หรือ growth sotcks นั่นเอง
จุดขายเรื่องนี้ เป็นไปตามสูตรของ let profit run เพราะการทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้ ตามแผนธุรกิจที่วาดเอาไว้ในแต่ละปี เป็นจริงหรือดีกว่าที่แถลงเอาไว้ในฐานะ “คำมั่นสัญญา”
บริษัทที่เติบโตทางรายได้ต่อเนื่อง แต่กำไรสวนทางผกผันลงสวนกระแส ย่อมไม่ใช่บริษัทที่มีเสน่ห์ แต่เป็นเพราะแผนธุรกิจผิดพลาด บริษัทที่เน้นกำไรอย่างเดียว ยอดขายไม่โตเลย ก็ไม่ใช่บริษัทที่น่าสนใจสำหรับนักลงุทน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน
นับตั้งแต่เข้ามาระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ปี 2556 ราคาหุ้นของ MC ลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนหญิงวัยทอง…แม้จะเข้าเทรดวันแรกเหนือราคาจอง 16.00 บาท แต่หลังจากนั้นก็หลุดจองไปยาวนานหลายเดือน ถึงขั้นลงไปลึกถึงใต้ 10.00 บาท ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะวิ่งกลับคืนมาเมื่อมีการเดินสายจากผู้บริหารทำความเข้าใจกับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศจริงๆ จังๆ
หุ้น MC ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศ เข้ามาเก็บหุ้นหลังการโรดโชว์ครั้งแรก ในยามที่ขณะนั้น มีอดีตซีอีโอคู่ นางปรารถนา มงคลกุล อดีตนักการเงินมืออาชีพชื่อดังที่เคยนั่งตำแหน่งใหญ่ในกลุ่มไมเนอร์กรุ๊ปมาก่อนมีบทบาทร่วมอยู่ด้วย จนกลางปี 2557 ราคาวิ่งแรงไปเหนือ 20 บาทนานพอสมควร ก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์รายได้และกำไรของบริษัทพลาดเป้าไปหมด
ราคาของ MC ร่วงลงมาที่ระดับ 12.00 บาท และไม่เคยกลับขึ้นไปยืนเหนือ 15 บาทมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยสาเหตุสำคัญคือ ผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรไม่เข้าเป้าที่แถลงไว้ต่อเนื่อง…ด้วยคำอธิบายก็สุดแท้แต่จะยกมาอ้าง แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว มีข้อสรุปชัดเจนว่า หมดเสน่ห์เสียแล้วสำหรับหุ้นตัวนี้ ทั้งที่ว่าไปแล้ว ยังมีกำไรต่อเนื่อง ไม่ได้เลวร้าย
รายได้และกำไรที่ต่ำกว่าคาด ครั้งแล้วครั้งเล่า นี่แหละ ที่บั่นทอนราคาหุ้นของ MC
จุดนี้ ผู้บริหารไม่เคยแก้ไขได้…ดังนั้น มาร์เก็ตแคปจึงไม่มีความหมายอะไร
ปี 2559 “นางสาวสุณี” ที่ตอนนี้ ไม่มีซีอีโอเคียงคู่แบบนางปรารถนาอีกแล้ว ต้องแบกรับภาระในการแถลงแผนธุรกิจ ประจำปี ซึ่งไม่ต่างจาก “มุกเดิม”เมื่อปีก่อนๆ คือ 1) จะมีรายได้เติบโต 15% จากปีก่อน โดยแม้ว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะยังไม่ดีขึ้น 2) แผนการตลาดที่จะบรรลุเป้าหมายประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ใช้งบลงทุนเพื่อทำการตลาดมากกว่าเดิม 1 เท่าตัว และเปิดสาขาใหม่ Mc Jeans 50 สาขา และร้าน Mc Jeans ในสถานีบริการน้ำมัน 10-15 แห่ง โดยจะใช้งบลงทุนประมาณสาขาละ 3 ล้านบาท 3) รักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 20% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 58% ใกล้เคียงกับปี 2558 4) ตั้งเป้าจะให้หลักทรัพย์ของบริษัทนำกลับมาคำนวณในดัชนี SET 100 อีกครั้ง หลังจากถูกถอดออกไป ด้วยการออกไปโรดโชว์ให้ข้อมูลแก่นักลงทุนในฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น และเพิ่มน้ำหนักให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันในประเทศมากขึ้น
สูตรสำเร็จพึ่งพารายใหญ่ดันราคาหุ้น MC นี้ ได้ผลมากน้อยแค่ไหน…คำตอบในอดีตจากราคาหุ้น MC มีให้เห็นว่า ไม่ยั่งยืน…แต่ก็ยังไม่ยอมจดจำ
ทิศทางราคาหุ้น MC สามปีนี้มีลักษณะ “หุ้นดี ราคาถูก” เคลื่อนไหวไปตามผลประกอบการและความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่พยายามเปิดเกมรุกทางธุรกิจสร้างรายได้ใหม่ ด้วยการใช้เงินทุนเพื่อขยายธุรกิจในแนวระนาบต่อยอดเดิม ในเกมรุก 3 ด้าน คือ 1) โรดโชว์ทางการเงินให้นักลงทุนสถาบันในต่างประเทศและในประเทศเข้าใจถึงจุดเด่นทางการเงินและการตลาดของบริษัท ในฐานะสินค้าแฟชั่นที่มากกว่าแค่เสื้อผ้า 2) เร่งขยายธุรกิจในทางลัดเพื่อสร้างห่วงโซ่การตลาดเพิ่มเติมจากร้านแม็คช็อปของเดิมที่มีอยู่ 104 แห่ง รวมทั้งเพิ่มพอร์ตสินค้าให้หลากหลายเพื่อจูงใจผู้ซื้อมากขึ้น 3) การเร่งเปิดสาขาค้าปลีกใหม่แบบเชิงรุก
โชคไม่ดี ที่ทั้งในปี 2557-2558 เป็นปีที่ทำให้แผนธุรกิจไม่เคยบรรลุเป้า เพราะเหตุจากปัจจัยภายนอกสำคัญคือ เศรษฐกิจไทยและกำลังซื้อในต่างจังหวัดของคนไทยถดถอยลงจากความวุ่นวายทางการเมืองและภัยแล้ง
ผลลัพธ์คือ หุ้น MC กลายเป็นหุ้น ที่ถูกนักลงทุนเมินโดยปริยาย มีมูลค่าซื้อขายวันต่อวันต่ำมากต่อเนื่อง ไม่เคยเป็นหุ้นยอดนิยมเลย…ถือเป็นหุ้นนอกสายตามาตลอด
สถานการณ์อย่างนี้ การเน้นที่จุดขายเป็น “จุดๆ”และ “เดิมๆ” จึงน่าจะเป็นการเกาไม่ถูกที่คันมากกว่า…