พาราสาวะถี

แทบจะไม่ต้องคาดเดาก็รู้กันอยู่แล้ว การจะเดินหน้าผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมในส่วนของพรรคเพื่อไทยฐานะแกนนำรัฐบาล


แทบจะไม่ต้องคาดเดาก็รู้กันอยู่แล้ว การจะเดินหน้าผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมในส่วนของพรรคเพื่อไทยฐานะแกนนำรัฐบาล ยังไงก็ไม่มีเรื่องมาตรา 112 เข้ามาเกี่ยวข้อง การหารือกับ สส.เพื่อขอมติเป็นแค่พิธีกรรม ชัดเจนอยู่แล้วว่า การแตะเรื่องนี้ก็เท่ากับการไม่สามารถเดินหน้ากันต่อได้ เป็นผลให้คดีการเมืองที่เกิดขึ้นมาหลายสิบปี มีคนที่ตกเป็นผู้ต้องหา และถูกคุมขังจำนวนมาก จะพลอยฟ้าพลอยฝน ต้องทนรอกระบวนการที่จะยกเว้นความผิดให้ต่อไป

กรณีนี้โดยหลักการตามที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในวันที่เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา การดำเนินการเรื่องนี้จะต้องไม่ไปขยายความขัดแย้งใดเพิ่ม ต้องรักษาบรรยากาศไม่ให้ช่วงเวลานี้ไปมีเงื่อนไขความขัดแย้งเพิ่ม จะต้องไม่ไปเพิ่มเงื่อนไขความขัดแย้งไปถึงฝ่ายใด ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่ทุกรัฐบาลไม่ใช่แค่รัฐบาลนี้ต้องยึดถือปฏิบัติอยู่แล้ว แนวทางมีให้เดินโดยไม่สะดุด เว้นแต่พวกสุดโต่งที่ต้องผลักดันเต็มที่ด้วยเงื่อนไขทางการเมืองที่ไม่มีทางเลือกอื่น

ความจริงประเด็นทางการเมืองที่เกิดเป็นกระแสอันเกี่ยวข้องกับร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่มีการเรียกร้องถามหาความชัดเจนจากฝ่ายรัฐบาล หากแยกแยะระหว่างฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติแล้ว มันย่อมชี้ให้เห็นว่า แพทองธาร ชินวัตร แม้จะมีหัวโขนเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่โดยภาระหน้าที่ ต้องเลือกไปที่บทบาทความเป็นผู้นำประเทศ แสดงศักยภาพในการบริหาร สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ วุฒิภาวะความเป็นผู้นำ เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นด้านหลัก

กล่าวคือ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเร่งเร้า หรือเค้นถามเพื่อให้ได้คำตอบจากนายกรัฐมนตรี หรือแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลต่อการผลักดันร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่สังคมเฝ้าจับตา เพราะไม่ใช่หน้าที่หลักของฝ่ายบริหาร การทำงานในเรื่องเหล่านี้เป็นบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติ ที่จะขับเคลื่อนผ่าน สส.ของแต่ละพรรคเสนอกันในนามมติที่ประชุมพรรค ซึ่งสามารถที่จะทำงานคู่ขนานกันไปกับรัฐบาลได้ เรื่องไหนที่เป็นนโยบายหลัก เรือธงของพรรคแกนนำหรือพรรคร่วมรัฐบาล ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแกนนำที่ไม่มีอำนาจในฝ่ายบริหารเป็นผู้ชี้แจงไป

ต้องเข้าใจว่า การทำงานในฐานะรัฐบาลผสมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีอะไรที่จะสามารถฟันธง และขับเคลื่อนได้โดยทันทีทันใด จะเห็นได้ว่าเรื่องสำคัญที่ผ่านมา พรรคร่วมรัฐบาลต่างได้แสดงจุดยืน และประกาศเป็นแนวทางของพรรคอยู่ต่อเนื่อง ไม่ได้ฉายภาพของความขัดแย้ง แต่เป็นการสะท้อนความเห็นต่างที่ต้องรับฟังกัน และนำไปสู่การแลกเปลี่ยน โต้เถียงอย่างมีเหตุผล เหมือนที่แพทองธาร และแกนนำพรรคเพื่อไทยย้ำมาตลอด ทุกเรื่องที่เห็นต่างจะต้องตั้งวงถกเพื่อให้ได้ข้อสรุปร่วมกัน ทำให้เดินต่อไปได้

การเทเดิมพันแบบหมดหน้าตักของพรรคแกนนำรัฐบาล นั่นย่อมเป็นการการันตีว่าเมื่อเข้ามาบริหารประเทศแล้ว จะต้องเห็นผล สร้างการยอมรับจากประชาชนให้ได้ แต่ด้วยโจทย์ความเป็นรัฐบาลผสม ที่รู้อยู่แล้วว่าหลายเรื่องต้องมีต้นทุนสูง ยุคสมัยนี้อาจจะไม่โจ่งแจ้ง ประเจิดประเจ้อเหมือนสมัยก่อน หากไม่ได้ตามต้องการแล้วมีอันต้องแตกหักกันไปข้าง เพราะเรื่องที่มองไม่ตรงกันส่วนใหญ่มักจะเป็นประเด็นมิติทางการเมืองเสียมากกว่าเรื่องการบริหาร

อย่างที่เห็นหลังรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน กระทั่งมาถึงแพทองธารที่เข้ามาบริหารประเทศได้สองเดือนเศษ ถูกฝ่ายตรงข้ามปรามาส ดูแคลนมาตลอดว่าไร้ผลงาน ไม่สามารถที่จะสร้างปรากฏการณ์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเป็นที่จดจำ ชื่นชอบของประชาชนได้ทันทีทันใดเหมือนยุค ทักษิณ ชินวัตร บริหาร นั่นย่อมเป็นการชี้ให้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงของปัญหา ความยากของการแก้ไข และสิ่งที่หมักหมมกันมาเอาแค่ 10 กว่าปีภายใต้ร่มเงาของเผด็จการสืบทอดอำนาจ มันไม่ใช่เรื่องที่จะสะสางกันได้โดยง่าย

ตัดสินใจเป็นแกนนำพลิกขั้วตั้งรัฐบาล ย่อมมีเดิมพันสูง ทุกปัญหาของประชาชนคนที่เป็นผู้นำต้องทำให้เห็นว่าทำให้เต็มที่ แต่การจะชี้ว่าเป็นที่พึงพอใจหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องของนักวิชาการ นักเลือกตั้ง หรือใครแค่บางคนบางกลุ่มมาชี้นิ้วว่า ไม่ได้เรื่อง อยู่ได้ไม่นาน ผลงานทั้งหมดได้รับการยอมรับหรือไม่ อยู่ที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน เมื่อไปถามกัน ณ เวลานี้ ย่อมได้คำตอบที่ไม่ต่างกัน ต้องให้โอกาสรัฐบาลได้ทำงานอย่างเต็มที่ และเต็มศักยภาพ ไม่ใช่มีแต่เรื่องร้องเรียน คอยฉุดรั้งความเชื่อมั่น สั่นคลอนเสถียรภาพอย่างที่เป็นอยู่

คงไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่ สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. จะหยอดคำหวานกับอุ๊งอิ๊งในวันที่นำคณะกกร.เข้ายื่นสมุดปกขาวข้อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศว่า การบริหารงานของอดีตนายกฯ ทักษิณ เศรษฐกิจเติบโตได้ดีมาก ทั้งระดับบนและระดับล่าง พร้อมชื่นชมพ่อของนายกฯ หญิงเป็นผู้ที่มองการณ์ไกล แก้ปัญหาได้เก่งที่สุดและดีที่สุด

จะมองว่าเป็นมารยาทในการเข้าพบเพื่อให้กำลังใจกันและกันก็มองได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าก่อนที่แพทองธารจะมีการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภานั้น ได้มีการพบกับ กกร.มาแล้วหนหนึ่ง การพบกันหนนี้ย่อมมีเรื่องที่เคยแลกเปลี่ยนไว้แล้ว มีการรับปากว่าจะตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน หรือ กรอ. เพื่อหารือกันทุก 6 เดือน นั่นหมายถึงภาครัฐกับเอกชนจะทำงานร่วมกันเยอะขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจและโอกาสให้กับประชาชน ความจำเป็นที่เห็นตรงกันเวลานี้คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ

การแจกเงินหมื่นบาทเฟสแรกที่รัฐบาลได้ทำไปนั้น ภาคเอกชนเห็นว่าเริ่มต้นได้ดี และต้องมีเฟสสองตามมา เพื่อเกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบ ประชาชนต้องการเม็ดเงินจับจ่าย ทำให้จับจ่ายได้ดีสำหรับคนขายของ โรงงานก็มีงานทำมากขึ้น ขณะที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ได้ย้ำว่า ดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่คิดทีเดียวแล้วทำอย่างนั้นตลอดไป แต่ดูไปเรื่อย ๆ รวมถึงผลได้ผลเสีย ความเหมาะสม จังหวะเวลา และรับข้อคิดเห็นมาดูว่าการกระตุ้นแบบไหนถึงจะเกิดผลดีที่สุด มีผลต่อเศรษฐกิจมากที่สุด มีฐานหนุนที่แข็งแรงแบบนี้ อยู่ที่รัฐบาลว่าจะกล้าตัดสินใจไม่ยึกยักชักช้าเหมือนก่อนหน้านี้หรือไม่

อรชุน

Back to top button