หุ้นปั่นป่วนหนัก

ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยถูกรายล้อมไปด้วยปัจจัยลบมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความกังวลที่มีต่อผลเลือกตั้งสหรัฐฯ


ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยถูกรายล้อมไปด้วยปัจจัยลบมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความกังวลที่มีต่อผลเลือกตั้งสหรัฐฯ และแรงกดดันที่มาจากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ขึ้นมาอยู่ในระดับ 4.25% รวมถึงสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอย่างชัดเจน หรือแม้กระทั่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหลากหลายเรื่องราว และที่เป็นประเด็นพูดถึงอย่างหนักก็คือ “เกาะกูด” ไงล่ะจ๊ะ

ถามว่า เรื่องทั้งหมดส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยขนาดไหน? เดี๊ยนตอบได้ทันทีว่า เรื่องราวข้างต้นกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเต็ม ๆ และเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ต่างชาติหันมาใช้ยุทธวิธีขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อเนื่อง เพราะของมันเห็นกันทนโท่ว่า ข้างหน้าเต็มไปด้วยขวากหนามมากมาย ผนวกกับความคิดของ “ประชาชน” กับ “รัฐบาล” เริ่มออกไปในลักษณะสวนทางกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้..เดี๋ยวก็พากันลงเหวอีกเจ้าค่ะ

งานนี้ใครจะมองอย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๊ยนแค่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเพื่อสะท้อนความรู้สึกของเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะถ้ามองย้อนไปถึงเรื่อง “น้ำมันแพง ไฟแพง แก๊สแพง” ก็เป็นตัวถ่วงที่ทำให้การจับจ่ายใช้สอยไม่สะพัด แต่ทันทีที่มีการแจกเงินหมื่นล็อตแรก ก็ดูเหมือนเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นนิดหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นโล้เป็นพายอีกตามเคย และเหลือทิ้งไว้แค่กองทุนวายุภักษ์ที่คอยทำหน้าที่พยุงตลาดหุ้นนะตัวเอง

เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ “โมนิก้า” หันมามองเรื่องสัญญาณเทคนิคมากเป็นพิเศษ เพราะตัวเลขตรงนี้เป็นไกด์ไลน์ที่บอกให้นักลงทุนรู้ตัวว่า อย่าฝืน! ยกเว้นมีความกล้าบ้าบิ่นก็เชิญลุยให้สุดซอย หลังดัชนีสามารถประคองตัวปิดที่ระดับ 1,447.20 จุด ลบไป 3.96 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.95 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นภาพที่ดูเหมือนว่า ยังมีแรงซื้อเข้ามาเป็นระลอก จนมีความหวังที่จะได้เห็นดัชนีขึ้นไปยืนเหนือแนวต้าน 1,460 จุดอีกครั้ง..แต่จะทำได้จริงเหรอ!

ขนาดหุ้นโรงพยาบาลที่เขาเชื่อกันว่า คือหุ้นแกนหลักที่น่าลงทุนยังไปไม่รอด เดี๊ยนเลยอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดของ BCH ที่ระดับ 17.20 บาท ลบไป 0.80 บาท หรือลงไป 4.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 377 ล้านบาท ท่ามกลางความมั่นใจในการลงทุนหดหายไปมาก และยังมีปัจจัยลบเข้ามากระแทกบรรยากาศการลงทุนเป็นช่วง ๆ มันสร้างแรงกดดันให้หุ้นลงไปหาโลว์เดิมที่บริเวณ 14.80 บาทได้ไหม?..ลองไปคิดดูนะคุณพี่

อีกรายที่ออกอาการอ่อนล้าชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ “โมนิก้า” คงมองไปที่น้องแบม BAM หลังหุ้นมีอาการเด้งแล้วลง พร้อมกับมีจุดต่ำสุดใหม่เกิดขึ้นทุกครั้งแบบนี้ ตามตำราหุ้นเขาเรียกลักษณะนี้ว่า ไซด์เวย์ดาวน์ เดี๊ยนจึงต้องออกโรงเตือนตั้งแต่หัววันว่า การยืนปิดที่ระดับ 8.75 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 5.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 246 ล้านบาท น่าจะเป็นเกมเสี่ยงที่นักเล่นต้องคิดดี ๆ หากจะเข้าไปเป็นชาวสวนจ้า!

ส่วนคนที่คิดจะเล่นเกมเสี่ยงจริง ๆ “โมนิก้า” ขอแนะนำให้หันมามอง BCP เป็นตัวเลือกอันดับแรก ๆ เพราะการลงมายืนปิดที่ระดับ 32.75 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 2.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 185 ล้านบาท มันเป็นการเคลื่อนตัวเข้าใกล้โลว์เก่าที่บริเวณ 31 บาทเข้ามาทุกที และเมื่อเทียบกับราคาเป้ากลาง ๆ ที่บรรดาโบรกเกอร์ให้ไว้บริเวณ 45 บาท ก็เป็นประเด็นที่ทำให้เดี๊ยนมีความสนใจหุ้นตัวนี้มากขึ้นก็เท่านั้นเอง..อิอิอิ

ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” อยากเอ่ยถึงหุ้น BTG เป็นรายถัดมา เพราะเมื่อดูจากจุดเด้งสองครั้งก่อนที่บริเวณ 20 บาท จึงทำให้เชื่อว่า นี่เป็นจังหวะของการเข้าไปลุยดูสักตั้ง ผนวกกับหลายคนเชื่อว่า ผลงานของบริษัทคงไม่แย่ลงไปกว่านี้อีกแล้ว เดี๊ยนเลยมองว่า การยืนปิดที่ระดับ 20.50 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 2.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 83 ล้านบาท เหมาะสำหรับนักเล่นที่ชอบลุ้นเด้งสั้น ๆ นะออเจ้า

ตบท้ายกันที่หุ้น GPSC กันดีกว่า เพราะกลายเป็นหุ้นที่มีเคราะห์กรรมถาโถมเข้าใส่ไม่หยุดหย่อน ไล่เรียงตั้งแต่ยอดขายไฟลดลง (หน้าฝน หน้าหนาว) ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าลดลง รวมถึงต้นทุนในการบริหารจัดการที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นชนวนเหตุให้มีการขายหุ้นออกมาเป็นระลอก จนวานนี้หุ้นลงมายืนอยู่ที่ 42 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 1.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 234 ล้านบาทแบบนี้ สงสัยต้องมองไปที่โลว์เก่าบริเวณ 36 บาทแล้วกระมัง!

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button