หุ้นไทยเสียศูนย์
ในที่สุด “ทรัมป์” ก็ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งเป็นการคว้าชัยแบบม้วนเดียวจบ พร้อมกับปลุกคำพูดที่ว่า “อเมริกันเฟิร์ส” ขึ้นมาอีกครั้ง
ในที่สุด “ทรัมป์” ก็ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งเป็นการคว้าชัยแบบม้วนเดียวจบ พร้อมกับปลุกคำพูดที่ว่า “อเมริกันเฟิร์ส” ขึ้นมาอีกครั้งแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่บันเทิงอย่างแน่นอน เพราะจะทำให้สงครามการค้ามีความเข้มข้นมากขึ้นเป็นทวีคูณ ขณะเดียวกันจะเห็นว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกมีทั้งแดงทั้งเขียวสลับกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า ฝั่งไหนถือหางอเมริกาไงล่ะคะ
ฉะนั้นอย่าได้แปลกใจที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่น กับตลาดหุ้นไต้หวันพากันบวกเขียวปี๋กว่าที่อื่น ๆ ขณะที่เดี๊ยนรวบรวมข้อมูลเพื่อจะเขียนคอลัมน์ ก็เหลือบไปเห็นดาวโจนส์ฟิวเจอร์ก็บวกขึ้นไป 800 กว่าจุด ซึ่งเป็นจังหวะที่ “ทรัมป์” ขึ้นประกาศชัยชนะอย่างไม่เป็นทางการแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ผู้คนมากมายต้องตรึกตรองมากเป็นพิเศษว่า ตลาดหุ้นไทยจะเดินไปทางไหนต่อจากนี้? นะตัวเอง
เนื่องจากการประคองตัวในแดนบวกได้เกือบทั้งวัน ล้วนเกิดจากหุ้นอิเล็กฯ ช่วยกันดันดัชนี และถ้าอิงกันตามการเมืองระหว่างประเทศจะเห็นว่า หุ้นกลุ่มนี้น่าจะได้ประโยชน์มากสุด ผนวกกับมีเรื่องของกำไรโตเป็นแรงหนุนสำคัญ จึงทำให้กองทุนไล่ราคากันบ้าระห่ำ จนไม่รู้ว่า ราคาหุ้นจะไปหยุดตรงบริเวณไหน? ประกอบกับราคาหุ้นก็วิ่งทะลุเป้าที่นักวิเคราะห์ให้ไว้แบบนี้..น่ากลัวเหลือเกินค่ะ
ประเด็นดังกล่าวเห็นได้จากการทรุดตัวของดัชนีในครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของการเทรด ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 1,467.42 จุด ลบไป 14.25 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.72 หมื่นล้านบาท มันเหมือนเป็นอาการของคนที่เพิ่งรู้ตัวว่า หนทางต่อจากนี้จะเต็มไปด้วยขวากหนาม จึงต้องรีบขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงอย่างเร่งด่วน ผนวกกับเห็นเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว เลยไม่มีความจำเป็นต้องกอดหุ้นไว้น่ะซี
ที่ท้าทายสุด ๆ คงเป็นในรายของ DELTA ที่พุ่งขึ้นไปถึงระดับ 159.50 บาท แต่สุดท้ายย่อตัวลงมาปิดที่ระดับ 155.50 บาท บวกไป 7 บาท หรือขึ้นไป 4.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.94 พันล้านบาท อาจเป็นเกมที่บังคับให้กองทุนต้องเล่นก็จริง แต่การจะไปต่อคงไม่ง่ายเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะอาการที่แสดงออกวานนี้เหมือนบอกให้รู้ว่า นี่เป็นจังหวะช่วงชิงการขาย! เพราะหุ้นขึ้นมามากจริง ๆ จ้า!
ขนาดหุ้นที่ลงมานาน และเพิ่งจะผงกหัวขึ้นอย่าง PTTEP ยังถูกรุมกระหน่ำขายแบบไม่มีเยื่อใย จนราคาหุ้นลงมากองอยู่ที่ 127.50 บาท ลบไป 3.50 บาท หรือลงไป 2.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.57 พันล้านบาทแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ทำให้งงมากพอสมควร เพราะก่อนหน้านี้ก็กลัวกันว่า งบจะออกมาไม่ดี แต่พอประกาศออกดี ก็เริ่มไล่ราคากันใหม่ แล้วทำไมวานนี้ถึงถูกชำเราหนักอีก อิฉันไปไม่ถูกจริง ๆ นะจ๊ะ
ส่วนรายที่มีอาการหนักสุดในเที่ยวนี้กลายเป็น BANPU หลังกังวลกันว่า ไตรมาส 3 จะขาดทุนหนัก ซึ่งเป็นผลมาจากเงินบาทแข็งค่าเร็วเหลือเกิน และดูเหมือนสตอรี่ใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาสร้างสีสันให้กับหุ้นก็ถูกชะล้างไปหมดแล้ว “โมนิก้า” เลยกังวลใจว่า การทรุดฮวบลงมาปิดที่ระดับ 5.80 ลบไป 0.60 บาท หรือลงไป 9.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.02 พันล้านบาท อาจไม่ใช่โลว์สุดของการลงเที่ยวนี้ เพราะโมเมนตัมของหุ้นเสียทรงอย่างแรงเจ้าค่ะ
เช่นเดียวกับในรายของ MTC ที่อุตส่าห์ขึ้นมาทดสอบแนวต้าน 54 บาทถึง 2 ครั้งในรอบ 2 เดือน แต่สุดท้ายก็ฝ่าไปไม่ได้ และลงมาตั้งลำที่บริเวณแนวรับ 48 บาทอีกครั้งแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเกมที่ต้องคิดมากเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับหุ้นวานนี้คือ ความกังวลเรื่องดอกเบี้ยไม่ลง อาจกระทบกับความสามารถในการทำกำไร จึงทำให้นักลงทุนทิ้งหุ้นอุตลุดจนลงมากองอยู่ที่ 48.50 ลบไป 2.25 บาท หรือลงไป 4.45% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 665 ล้านบาท
น่ากังวลสุดก็เป็นในรายของน้องใหม่ MEDEZE ซึ่งออกมา “ยืนยัน นั่งยัน” ธุรกิจสเต็มเซลล์ที่ทำเป็นไปตามกฎระเบียบของแพทย์สภา และเชื่อว่า ผลงานจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่ดูเหมือนนักลงทุนจะไม่เชื่อที่ผู้บริหารออกมาพูด วานนี้จึงเห็นหุ้นถูกขายออกมาอีกครั้ง พร้อมกับลงมายืนปิดที่ระดับ 8.45 ลบไป 0.65 บาท หรือลงไป 7.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 126 ล้านบาทแบบนี้..เดี๊ยนจนปัญญาที่จะอธิบาย และคงต้องรอให้ผลงานออกมาเป็นเครื่องพิสูจน์นะนายจ๋า!
โมนิก้า: และทีมงาน