หมดเวลาโลกสวยพลวัต 2016

ราคาหุ้นของบริษัทในเครือ ปตท. รวมทั้งหมด 4 รายที่รู้จักกันดีคือ PTT, PTTEP, PTTGC,TOP และ IRPC ถูก มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส บริษัทจัดเรตติ้งระดับโลกทบทวนความน่าเชื่อถือทางการเงิน พร้อมกับมีแนวโน้มว่าอาจจะถูกดาวน์เกรด หรือปรับลดความน่าเชื่อถือลง ทำให้ราคาหุ้นวูบวาบไปตามๆ กัน เพราะไม่ใช่ข่าวดี


วิษณุ โชลิตกุล

 

ราคาหุ้นของบริษัทในเครือ ปตท. รวมทั้งหมด 4 รายที่รู้จักกันดีคือ PTT, PTTEP, PTTGC,TOP และ IRPC ถูก มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส บริษัทจัดเรตติ้งระดับโลกทบทวนความน่าเชื่อถือทางการเงิน พร้อมกับมีแนวโน้มว่าอาจจะถูกดาวน์เกรด หรือปรับลดความน่าเชื่อถือลง ทำให้ราคาหุ้นวูบวาบไปตามๆ กัน เพราะไม่ใช่ข่าวดี

ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะเมื่อธุรกิจโดยรวมเป็นขาลง การที่บริษัทเรตติ้งจะทำนิ่งเฉยเอาไว้  ก็จะถูกหาว่าเป็นแมวอ้วนจอมขี้เกียจ

การทบทวนดังกล่าว ทำให้ผู้บริหารของเครือปตท.ต้องดิ้นรนออกมาชี้แจงกันยกใหญ่ โดย นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  PTT ยืนยันว่า มูดี้ส์ยังไม่ได้ปรับลดอันดับเครดิตของ PTT เพียงอยู่ระหว่างการทบทวนอันดับเครดิตเท่านั้น หลังจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลง โดยคาดว่ามูดี้ส์จะใช้เวลาในการทบทวนประมาณ 1 เดือนและจะทราบผลอันดับเครดิตประมาณเดือนมี.ค.นี้

นายเทวินทร์ กล่าวออกตัวว่า ถึงแม้ว่าจะถูกปรับลดเครดิตลง ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทในการระดมทุน เพราะเหตุหลายประการคือ 1) ยังไม่มีแผนการระดมทุนในช่วง 1-2 ปีนี้ เพราะปตท.มีเงินสดในมือที่เพียงพอในการลงทุน 2) ปตท.มีการทบทวนลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปีนี้ 3) เชื่อว่า ราคาน้ำมันได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าราคาเฉลี่ยน้ำมันปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 30-40 เหรียญต่อบาร์เรล

ข้อมูลและความเชื่อของผู้บริหารสูงสุดของเครือ ปตท. ไม่สามารถปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่า ยามนี้ บริษัทน้ำมันในโลก พากันถูกปรับลดเครดิต หรือ ดาวน์เกรดกันเป็นแถวๆ ไม่สามารถสร้างวิสัยทัศน์แบบ ”โลกสวย” ได้อีกต่อไป

ข้อเท็จจริงดังกล่าว เกิดจากการรายงานผลประกอบการงวดสิ้นปี 2558 ของบริษัทยักษ์ใหญ่น้ำมันข้ามชาติที่เรียกว่า 7 Sisters ซึ่งเลวร้ายกว่าคาดกันอย่างมาก (แสดงว่ามีการซ่อนอำพรางข้อเท็จจริงที่เลวร้ายในงบการเงินก่อนหน้านั้นบางส่วน) ซึ่งยังผลให้ตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐฯพากันร่วงผล็อยเหมือนใบไม้ร่วง

ราคาหุ้นบริษัท Exxon Mobil Corp. ยักษ์อันดับหนึ่งของโลกร่วงลงเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา 2.2% รายงานอัตรากำไรต่ำสุดในรอบ 1 ทศวรรษทำให้ต้องปรับการลงทุนใหม่ในปีนี้ลดลง 25% จากปีก่อน พร้อมกับยกเลิกโครงการซื้อหุ้นคืน

ที่เลวร้ายสุดในบรรดายักษ์น้ำมันที่ประกาศงบออกมาแล้วคือ  BP ของอังกฤษ ที่มีตัวเลขขาดทุน 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  มากสุดในประวัติก่อตั้งบริษัทมา

ตัวเลขผลประกอบการที่เลวร้ายจากขาลงของยักษ์น้ำมัน ทำให้บรรดาบริษัทเรตติ้งจำต้องหันมาทบทวนเพื่อลดอันดับเครดิตบริษัทน้ำมันทั่วทั้งอุตสาหกรรมและทั่วโลกกันเลยทีเดียว ทำให้ใครต่อใครถูกหางเลขกันทั่วหน้า

บริษัทเรตติ้งอย่าง S&P และ Moody’s ระบุว่า ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายอย่าง Chevron Corp. ถูกลดอันดับเรตติ้งเป็นครั้งแรกของบริษัท เป้าหมายต่อไปที่จะถูกพิจารณาปรับลดคือ Exxon Mobil Corp. ในขณะที่รายอื่นๆ ประกอบด้วย Hess Corp. ปรับลดลงไปที่ BBB- จากเดิม BBB ขณะที่รายย่ำแย่มากอย่าง Continental Resources Inc และ Southwestern Energy Co ถูกลดลงเหลือระดับขยะ

สำหรับยักษ์น้ำมันแล้ว การปรับตัวในช่วงขาลงที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่มีแนวทางหลักๆ เพื่อรักษากำไรหรือประคองราคาหุ้นเอาไว้หลายวิธีการคือ 1)ลดการลงทุนใหม่  2) งัดมาตรการซื้อหุ้นคืนในตลาด 3) กู้เงินเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสภาพคล่อง โดยผ่านตราสารหนี้ระยะยาวในอัตราดอกเบี้ยแพงขึ้น 4) ควบรวมกิจการเพื่อตัดคู่แข่งออกจากการแข่งขัน 5) งดจ่ายปันผลเพื่อรักษาเงินสดเอาไว้ 6) ปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ให้ยืดการชำระออกไปเพื่อรักษาสภาพคล่อง

มาตรการดังกล่าว ซึ่งยังไม่รวมถึงการบันทึกด้อยค่าของทรัพย์สินในดินที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมา ที่ตามปกติแล้วจะมีมูลค่าประเมินต่ำลงตามราคาตลาด หากมีผลยังทำให้กำไรลดลง และกระทบต่อราคาหุ้นจนกระทั่งมาร์เก็ตแคปของบริษัทลดลงมาก ดังกรณี Exxon ที่มาร์เก็ตแคป ล่าสุดถูกบริษัทดาวรุ่งพุ่งแรงอย่างเฟซบุ๊คแซงหน้าไปแล้วเรียบร้อย

ท่ามกลางสถานการณ์ขาลงของธุรกิจน้ำมัน ผู้บริหารบริษัทน้ำมันทั่วโลก จำต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า การเล่นเกมมายากลทางการเงิน หรือการดันทุรังกับโครงการวิมานในฝันทั้งหลายที่เคยมีอยู่

ในช่วงขาขึ้น จำต้องมีการทบทวนจริงจัง และต้องยึดปรัชญา “สูงสุดสู่พื้นฐาน” ที่จะต้องนำเอามาตรการสารพัดเพื่อความอยู่รอดในช่วงยากลำบากมาใช้อย่างจริงจัง ไม่สามารถอำพรางได้แบบที่เคยเกิดขึ้นกับกรณีของ Enron ที่สร้างหายนะรุนแรงวุ่นวายไปทั่วโลกเมื่อ 1 ทศวรรษที่ผ่านมา

ภารกิจเช่นนี้คือ การเรียกร้องความสามารถในการยอมรับข้อเท็จจริงของธุรกิจว่าต้องรัดเข็มขัด ไม่ใช่คิดหรือกระทำตนเสมือนกับคนในบางสังคมที่ดัดจริตเชื่อว่า การรัฐประหารโดยกองทัพจะทำให้การเมืองสะอาดขึ้น โกงน้อยลง และ มีประชาธิปไตยมากกว่าเดิม  รวมทั้งคนที่เชื่อง่ายๆ ว่า การรัฐประหารในนามการเมืองแบบมวลชน ที่มากับ flash uprising ที่คาดเดายาก จะดีกว่าการจัดตั้งที่มีรูปแบบชัดเจน

ความยากลำบากที่ต้องเผชิญหน้ากับภารกิจในการอยู่รอดของยักษ์ใหญ่น้ำมันทั่วโลกช่วงนี้ ก็มีความหวังในเชิงบวกทำนอง ”แสงสว่างปลายอุโมงค์” ที่ถือคติว่า ความกลัวเป็นที่ปรึกษาที่เลว จึงพยายามหาข่าวดีที่จะทำให้เกิดการพลิกผันสถานการณ์เข้ามาแทรกคั่นจังหวะ

หนึ่งในข่าวดียามนี้ คือ เมื่อวานนี้นักวิเคราะห์คนเดิมของสำนัก โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจชื่อดังของสหรัฐฯ ที่เคยทำนายเมื่อ 4 เดือนก่อนว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปีนี้ จะมีโอกาสร่วงลงไปแตะที่ระดับ 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์ใหม่ ว่า เนื่องจากการลงทุนสำรวจขุดเจาะและการปิดหลุมในหลายประเทศ โดยเฉพาะทวีปอเมริกาเหนือที่ลดลงต่อเนื่องเพราะต้นทุนสูงลิ่ว จะทำให้ปลายปีนี้ อุปทานและอุปสงค์ตลาดที่เปลี่ยนไป จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 50% จากระดับปัจจุบัน 30 ดอลลาร์ ไปที่ระดับ 45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ไม่ยาก

แม้ปัจจุบัน โลกจะไม่สวย แต่อนาคตที่เลิศหรูของนักวิเคราะห์ท้ายสุดนี้ คือข่าวดีที่ผู้บริหารบริษัทน้ำมันโลกโหยหาอย่างมาก เพื่อจะได้พ้นจากการขายน้ำมันในราคา “กลืนเลือด” ที่ต่ำกว่าต้นทุน

Back to top button