เม่ากระเจิง
ประเด็นที่ “โมนิก้า” อยากพูดถึงอีกครั้งในวันนี้ก็คือ การที่ดัชนีแกว่งตัวรุนแรงกำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แมงเม่าเกิดอาการจิตตกมากขึ้นเรื่อย ๆ
ประเด็นที่ “โมนิก้า” อยากพูดถึงอีกครั้งในวันนี้ก็คือ การที่ดัชนีแกว่งตัวรุนแรงกำลังกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แมงเม่าเกิดอาการจิตตกมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตั้งรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน จึงหันมาใช้ยุทธวิธีชะลอการลงทุน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และทำให้สัดส่วนการซื้อขายของแมงเม่าลดลงมาอยู่แถว 33% ซึ่งเป็นระดับที่ลดลงต่อเนื่องนะจะบอกให้
ประกอบกับช่วงนี้กองทุนเริ่มหันมาเล่นเกมสั้นถี่ขึ้น จึงทำให้แมงเม่าที่กระอักกระอ่วนใจเหลือเกิน เพราะเกมหุ้นเที่ยวนี้กลายเป็นของผู้เล่นที่หน้าตักมีไม่อั้น แถมการขึ้นของตลาดหุ้นก็เกิดจากการดันหุ้นใหญ่ไม่กี่ตัว ส่งผลให้มิตรรักแฟนเพลงที่เดี๊ยนรู้จักถอยฉากกันเป็นแถว เพราะการเข้าเล่นในช่วงหลัง ๆ มักเจ็บตัวออกมาเป็นประจำ ผนวกกับหุ้นไอพีโอก็ดันทำให้ผิดหวัง เลยทำให้เม่ากระเจิงกันหมดไงล่ะคะ
ฉะนั้นการที่ดัชนีประคองตัวปิดที่ระดับ 1,469.72 จุด บวกไป 2.30 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.55 หมื่นล้านบาท ทั้งที่หลายคนรับรู้ว่า บริษัทจดทะเบียนจะได้รับผลกระทบสงครามการค้า ค่าเงินบาทแข็งเร็วอ่อนเร็ว หรือแม้กระทั่งเงินเฟ้อที่จะกลับมาหลอกหลอนใหม่ ย่อมเป็นประเด็นที่ทำให้นักเล่นบางส่วนเลือกที่จะอยู่นิ่ง ๆ เพราะโมเมนตัมของการลงทุนไม่ได้แจกเงินเหมือนเมื่อก่อน..คุณ ๆ ว่า เป็นแบบนี้ไหมจ๊ะ
คิดดูแล้วกัน! ขนาดหุ้น BH รักษาฟอร์ม..รักษาทรงมาตั้งนาน ยังเสียทรงตั้งแต่หัววัน เพียงเพราะกำไรออกมาต่ำกว่าที่คาด จึงเป็นเหตุให้นักลงทุนสถาบันกระหน่ำขายหุ้นแบบไม่ยั้ง จนหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 239 บาท ลบไป 23 บาท หรือลงไป 8.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.55 พันล้านบาท และยังต้องลุ้นกันต่อไปว่า ไตรมาส 4 ผลงานจะออกมาดีไหม? ถือเป็นสถานการณ์ที่บีบหัวใจอย่างมากเจ้าค่ะ
ส่วนรายที่มีเอฟเฟกต์ต่อเนื่อง และน่าจะเป็นตัวอย่างให้กับรายข้างต้นได้ดีก็คือ SCGP เพราะเมื่อสองวันก่อนที่ประกาศงบไตรมาส 3 ออกมาพบว่า กำไรลดฮวบ ก็ถูกขายหนักไปแล้วรอบที่หนึ่ง พอถัดมาก็ยังถูกขายหนักเป็นรอบที่สอง จนราคาหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 23.50 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 724 ล้านบาทแบบนี้ มันจะมีการขายหนักเป็นรอบที่สามไหม?..อิอิอิ
ในเมื่อเม้าท์ถึงประเด็นผลกระทบที่เป็นลูกโซ่ “โมนิก้า” คงต้องเอ่ยถึงหุ้น EA เพื่อชี้ให้เห็นอาการเซื่องซึมที่เกิดขึ้นเป็นเวลานาน พร้อมกับมีแรงขายออกมาเรื่อย ๆ จนราคาหุ้นอยู่ในทิศทางไซด์เวย์ดาวน์ ก่อนจะยืนปิดไปที่ระดับ 7 บาท ลบไป 0.05 บาท หรือลงไป 0.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 312 ล้านบาท มันเป็นภาพที่ชี้ให้เห็นว่า ยังมีความกังวลในหลายเรื่องที่เป็นประเด็นกันอยู่แบบนี้..คงต้องอยู่ห่าง ๆ ไว้ก่อนนะตัวเอง
สถานการณ์ข้างต้นเหมือนกับในรายของ TIDLOR ซึ่งอยู่ในทิศทางอ่อนตัวลงต่อเนื่อง และมีวอลุ่มขายออกมาหนาแน่น ซึ่งเป็นช็อตที่ทำให้ “โมนิก้า” สังหรณ์ใจว่า หุ้นอาจลงไปหาโลว์เก่าที่บริเวณ 12.50 บาท เพราะบรรยากาศลงทุนไม่เป็นใจเอาเสียเลย และแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันก็ไม่เคยตกมาถึงหุ้นตัวนี้ วานนี้จึงเป็นอีกวันที่หุ้นอ่อนตัวลงต่อ ก่อนจะยืนปิดไปที่ระดับ 15.70 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 1.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 409 ล้านบาทไงล่ะจ๊ะ
ส่วนรายที่มีอาการ “เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย” แต่ราคาหุ้นยังวนเวียนไปมาในกรอบ 14.50-15.0 บาทเป็นเวลาครึ่งปี “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นปลากระป๋อง TU เพื่อชี้ให้เห็นพรรคพวกเพื่อนฝูงจะดีอย่างไร? หรือจะแย่อย่างไร? คุณพี่ก็ “โนสน โนแคร์” และขออยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เดี๊ยนถึงอยากให้นักลงทุนประเมินการยืนปิดที่ระดับ 14.70 บาท ลบไป 0.60 บาท หรือลงไป 3.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 423 ล้านบาท เหมาะที่จะเข้าไปตะลุมบอนหรือยังเจ้าคะ
ตบท้ายกันที่หุ้น BEC เพื่อชี้ให้เห็นโอกาสธุรกิจจะเดินหน้าอย่างมั่นคงค่อนข้างตีบตัน และการประกาศปลดพนักงานออกล็อตใหญ่ในช่วงปลายปี ก็เป็นสะท้อนที่ชี้ให้เห็นว่า บริษัทไม่อยากแบกรับต้นทุนอีกต่อไป เพราะเล็งเห็นรายได้ในอนาคตอาจไม่ตามเป้า จึงต้องรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ขณะที่ราคาหุ้นในกระดานก็ไหลลงมาปิดที่ 3.94 บาท ลบไป 0.22 บาท หรือลงไป 5.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่แห้งเหือดแบบนี้..บอกได้คำเดียวว่า หมดลุ้นจ้า!
โมนิก้า: และทีมงาน