เผ่นก่อนเถอะ!

จริง ๆ “โมนิก้า” เป็นคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของหุ้นไทยแบบสุดลิ่มทิ่มประตู เพราะเล็งเห็นความสามารถของผู้บริหารที่นำพาบริษัทจดทะเบียนทำกำไรมาโดยตลอด


จริง ๆ “โมนิก้า” เป็นคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของหุ้นไทยแบบสุดลิ่มทิ่มประตู เพราะเล็งเห็นความสามารถของผู้บริหารที่นำพาบริษัทจดทะเบียนทำกำไรมาโดยตลอด แต่ความเชื่อดังกล่าวต้องแปรเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อไตรมาส 3 ปี 67 บริษัทจดทะเบียนประสบปัญหาขาดทุน และความสามารถในการทำกำไรลดถ้วนหน้า ส่งผลให้เดี๊ยนต้องหยุดคิด และประเมินผลกระทบที่จะตามมาจ้า

เนื่องจากสถานการณ์ ณ เวลานี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนหลายอย่าง ไล่เรียงตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจโลก เรื่องดอกเบี้ย เรื่องเงินเฟ้อ เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เรื่องสงครามการค้า หรือแม้กระทั่งเรื่องพลังงาน ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวแปรที่ส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน “โมนิก้า” จึงรู้สึกมึนตึ้บเป็นอย่างมากในเวลานี้ เพราะมองไปทางไหน ก็มีแต่ปัญหาน่ะซี

ประกอบกับการทิ้งตัวของดัชนีลงมายืนปิดที่ระดับ 1,456.47 จุด ลบไป 8.22 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.97 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติยังเทขายหุ้นแบบไม่เพลามือ ขณะที่กองทุนในประเทศก็เริ่มกระเป๋าแบน ส่วนแมงเม่ายังคงเข้า ๆ ออก ๆ ตามสถานการณ์แบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อมั่นเริ่มลดลง แต่ทั้งหมดสามารถแก้ได้ด้วยผลงานไตรมาส 4 ต้องออกมาดีเหมือนที่ประเมินไว้เจ้าค่ะ

ขนาดหุ้นที่ใครก็เชื่อว่า ผลงานจะออกมาดี เพราะยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ทันทีที่งบไตรมาส 3 ออกมาต่ำกว่าคาด แรงขายก็ถล่มใส่หุ้น WHA ไม่ยั้งตลอดทั้งวัน จนหุ้นลงไปทำโลว์ของวันที่ 5.45 บาท ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาปิดที่ระดับ 5.60 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 6.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.29 พันล้านบาท ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่า วันนี้จะมีแรงซื้อเข้ามาดันหุ้นอ๊ะป่าว?

เรื่องข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้นถุงมือยาง STGT ซึ่งเป็นหุ้นที่หลายคนเชื่อว่า งบไตรมาส 3 จะออกมาดี แต่สุดท้ายกลับพลิกขาดทุน 84 ล้านหน้าตาเฉย และเมื่อแกะงบออกมาดูจะเห็นว่า ต้นทุนในการทำธุรกิจสูงขึ้น และยังโดน FX เล่นงานจังเบ้อเร่อ..ถ้าไม่ได้กำไรอื่นเข้ามาช่วย 290 ล้าน คงได้เห็นบรรทัดสุดท้ายแดงแป๊ดหนักกว่าเดิม ส่งผลให้การยืนปิดที่ระดับ 9.95 บาท ลบไป 0.55 บาท หรือลงไป 5.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 388 ล้านบาท ไม่น่าใช่จุดต่ำสุดกระมัง!

เมื่อตัวลูกทำผลงานไม่เข้าตากรรมการ ตัวแม่ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย วานนี้จึงเห็นหุ้น STA ทรุดตัวลงมายืนปิดที่ระดับ 19.30 บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 9.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 731 ล้านบาทแบบไร้แรงสู้ เพราะสิ่งที่สร้างความกังวลเที่ยวนี้มันเกี่ยวข้องกับความสามารถในการทำกำไร โดยเฉพาะการเจอโรคเลื่อนบังคับใช้ EUDR ออกไปอีก 1 ปีแบบนี้ มันกระทบกับการปั๊มรายได้อย่างมีนัยสำคัญนะตัวเอง

ส่วนรายของ JMART ที่สามารถพลิกกลับมามีกำไร (ปีก่อนขาดทุน) ก็ถูกกระหน่ำขายอย่างหนักด้วยความกังวลที่ว่า ไตรมาส 3 กำไรน้อยกว่าไตรมาส 3 ก็เป็นประเด็นที่เข้าใจได้ในมุมของนักเล่น แต่ถ้ามองจากการเทรดของหุ้นบน PE 21 เท่า และไตรมาส 4 เป็นไฮซีซั่นของทุกธุรกิจ ก็ทำให้การยืนปิดที่ระดับ 14.20  บาท ลบไป 0.90 บาท หรือลงไป 5.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 172 ล้านบาท น่าสนใจเหมือนกันนะคะ

ในเมื่อเม้าท์ถึงหุ้นที่น่าสนใจขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอเหลือบดูหุ้น TCAP ซึ่งประกอบธุรกิจโฮลดิ้ง และลงทุนในธุรกิจการเงินต่าง ๆ ก็มีมุมที่คล้ายกับรายข้างต้น หลังราคาหุ้นทรุดตัวเป็นวันที่ 2 ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 50.75 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 1.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 188 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 10 เท่า และยังมีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ระดับ 6% ก็น่าคิดเหมือนกันว่า หากหุ้นลงมาที่ฐานเก่าบริเวณ 50 บาท กล้าซื้อกันไหมจ๊ะ

ตบท้ายกันด้วยหุ้น XPG ที่ทิ้งตัวลงแรงแบบงง ๆ เพราะก่อนหน้านี้พยายามประคองตัวอยู่ที่บริเวณ 0.95 บาทเป็นเวลาเดือนกว่า แต่วานนี้ดันไหลรูดลงมากองอยู่ที่ระดับ 0.88 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 10.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 437 ล้านบาทเสียอย่างนั้น “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับคนที่ออกของไม่ทัน เพราะเดี๊ยนเดาไม่ออกเหมือนกันว่า ปัจจัยไหนจะทำให้หุ้นวิ่งกลับขึ้นไปยืนเหนือ 1 บาทอย่างมั่นคง เพราะหุ้นเป๋แบบนี้เป็นเวลา 5 เดือนแล้วน่ะซี

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button