TU ทรานส์ฟอร์มฟอร์โกรท

TU กลับมา “ฮึกเหิม” อีกครั้งด้วยการประกาศแผนงาน 6 ปี คือตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2573 จะผลักดันยอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ


เส้นทางนักลงทุน

“ธีรพงศ์ จันศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU กลับมา “ฮึกเหิม” อีกครั้งด้วยการประกาศแผนงาน 6 ปี คือตั้งแต่ปี 2568 ถึงปี 2573 จะผลักดันยอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2.45 แสนล้านบาท จากปี 2567 ที่ 1.36 แสนล้านบาท

ขณะที่ ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA ขึ้นอีก 100% ให้แตะระดับ 2.45-2.80 หมื่นล้านบาท จากปี 2567 ที่ 1.40 หมื่นล้านบาท รวมทั้งจะกลับมาเดินหน้าซื้อกิจการอีกครั้ง หลังจากที่สงบนิ่งมานานหลายปี เนื่องจากต้องเคลียร์ปัญหาภายใน โดยเฉพาะเรด ล็อบสเตอร์ (Red Lobster)

“สิ่งที่ทำให้เรากลับมาฮึดอีกครั้งหลังจากที่นิ่งมานาน ก็ต้องบอกว่าเราดูความพร้อมของเรา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราได้มีการจัดการธุรกิจและทรัพย์สินที่ไม่ Perform ตอนนี้เราจัดการภาระของเราค่อนข้างเกือบหมด

ในขณะเดียวกัน สถานะการเงินของเราก็แข็งแกร่ง ด้วย 2 ปัจจัยนี้ ทำให้เรามองว่าจะสามารถกลับมาเติบโตได้อีกที หนี้ของเราอยู่ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท แต่เรามีทุนกว่า 6 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนหนี้/ทุน (D/E) ที่ 0.79 เท่า ถือว่าต่ำมาก “ธีรพงศ์ จันศิริ แจกแจงเหตุผลการตั้งเป้าหมายเพื่อกลับมาเติบโต

TU กลับมาภายใต้จุดมุ่งหมายในการก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล สอดคล้องกับเป้าหมายการมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ของไทยยูเนี่ยน

การขับเคลื่อนของ TU เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 3 แกนหลัก คือ การผลักดันการเติบโตของรายได้ กำไรขั้นต้น และ EBITDA ดังกล่าวเพื่อมุ่งสู่ปี 2573 จะใช้กลยุทธ์ ประกอบด้วย

การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารสัตว์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่จำเป็นสำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตใหม่ ๆ

การสร้างคลื่นลูกใหม่ของการเติบโต คือ มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็ว เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน และอินกรีเดียนต์ ซึ่งไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

การเปิดน่านน้ำใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นการแสวงหาไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโปรตีนทางเลือก เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคต

ตามเป้าหมายดังกล่าวนี้ TU จะทรานส์ฟอร์เมชันผ่าน 2 โปรเจกต์ คือ 1.โปรเจกต์โซนาร์ (Project Sonar) มุ่งวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในระยะยาว โดยจะลดต้นทุนเฉลี่ยต่อปีให้ได้ 2,625 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2669 เป็นต้นไป ทั้งนี้ประมาณ 40% ของเงินส่วนนี้จะถูกนำกลับมาลงทุนเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจต่อไป

2.โปรเจกต์เทลวินด์ (Project Tailwind) มุ่งเน้นการเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก เป็นแผนการทรานส์ฟอร์เมชันของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ประมาณ 1,750 ล้านบาทต่อปี

“2 โปรเจกต์นี้จะใช้เงินไม่มาก จะอยู่ในงบลงทุนที่เราใช้เฉลี่ยปีละ 4.5-5 พันล้านบาท เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจและการซื้อกิจการอยู่แล้ว

ในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ภายใต้บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะมีการทำดีลควบรวมกิจการ มีเป้าหมายเพิ่มกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 1,750 ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปี 2670 เป็นต้นไป และมีเป้าหมายจะเพิ่มรายได้ 3 เท่า อยู่ที่ 5.25 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 ในกลุ่มธุรกิจของ TU เองก็จะมองหาโอกาสซื้อกิจการเข้ามาเช่นกัน”

ณ ปัจจุบัน TU มีความพร้อมและความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างมากของโลก ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ และอำนาจในการต่อรอง

นั่นทำให้เป็นที่มาในการกลับมา “ฮึกเหิม” และ “ทรานส์ฟอร์ม” ตัวเองเพื่อการเติบโตอีกครั้งของ TU

Back to top button