พาราสาวะถี
ประเดิมบทบาทผู้ช่วยหาเสียงได้เด็ดสะระตี่ บนเวทีปราศรัยที่จังหวัดอุดรธานี ของ ทักษิณ ทำให้เห็นแล้วว่า การเรื้อเวทีนานกว่า 18 ปีไม่มีผลใด ๆ
ประเดิมบทบาทผู้ช่วยหาเสียงได้เด็ดสะระตี่ บนเวทีปราศรัยที่จังหวัดอุดรธานีของ ทักษิณ ชินวัตร ทำให้เห็นแล้วว่า การเรื้อเวทีนานกว่า 18 ปีไม่มีผลใด ๆ ต่ออดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่าประชาชนนิยมชมชอบมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง ประเด็นที่ตามมาหลังการปิดจ๊อบหาเสียงแล้ว คงเป็นเรื่องที่มีการประกาศเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยจะได้ สส.ไม่น้อยกว่า 200 เสียง อะไรที่ทำให้มั่นใจขนาดนั้น เพราะเลือกตั้งหนที่ผ่านมาเคยประกาศแลนด์สไลด์ แต่ก็พ่ายให้กับก้าวไกลอย่างหมดรูป
บรรดากองแช่ง พวกขาประจำก็ต้องหาเหตุที่จะมาดักคอ ตั้งแง่ แต่ความเป็นจริงคนอย่างทักษิณคงไม่ได้เพ้อฝันแน่ เพราะการเลือกตั้งหนก่อนต้องต่อสู้กับไอโอทั้งของฝ่ายเผด็จการสืบทอดอำนาจ และพวกเดียวกันที่เล่นไม่ซื่อ บวกกับหลายพื้นที่มั่นใจในยี่ห้อพรรคนายใหญ่ จึงเกิดความชะล่าใจ ทำให้ปราชัยชนิดที่ไม่น่าเป็นไปได้ คงจะแก้ตัวได้ยากแพ้ก็คือแพ้ ที่ต้องไม่ลืมคงเป็นเรื่องบริบทการเลือกตั้ง บรรยากาศและอารมณ์ร่วมของผู้คนในวันที่เลือกตั้ง
ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 เห็นชัดว่าคนเบื่อหน่ายกับขบวนการสืบทอดอำนาจ ต้องการที่จะลงโทษ ประกอบกับมีการโหมกระพือข่าวที่กล่าวหาในทางลบต่อเพื่อไทย จึงทำให้ตัวเลือกใหม่พรรคสีส้ม และชื่อของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นเป้าหมายที่คนส่วนใหญ่ไปลงคะแนนให้เพื่อสั่งสอนเผด็จการ สุดท้ายด้วยความสุดโต่ง เหมือนที่ทักษิณพูดบนเวทีปราศรัยกับการได้คุยกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้นำที่แท้จริงของพรรคทางเลือกใหม่ อะไรที่มากเกินไปจะทำให้อยู่ยาก
ประเภทฟังไม่ได้ศัพท์ที่บอกว่าทักษิณกล่าวหาธนาธรไม่จงรักภักดีนั้น หากย้อนกลับไปฟังสิ่งที่นายใหญ่พูดบนเวทีก็ระบุชัด ตนไม่ได้บอกว่าธนาธร หรือพรรคก้าวไกลไม่จงรักภักดี แต่ต้องยึดหลักให้ถูกต้อง อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดที่โฆษณามันอันตรายกว่าความตั้งใจที่จะทำ ซึ่งได้ย้ำมาตลอดต่อให้เลือกตั้งครั้งหน้าพรรคประชาชนชนะอีกหน แต่ไม่ได้เสียงเกิน 250 ยังไงก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะจุดยืนที่เป็นไม่มีทางที่พรรคการเมืองไหนจะไปจับมือด้วยได้
การสื่อสารของธนาธรหลังถูกทักษิณพาดพิง ก็เป็นเพียงบทบาทที่จะแสดงออกเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคสีส้มเท่านั้น ความจริงก็คือกระแสข่าวลือช่วงที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลว่าเจ้าของพรรคก้าวไกลที่แท้จริงได้มีข้อตกลงบางอย่างกับผู้มีอำนาจที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยเช่นกัน แม้กระทั่งการพลิกขั้ว นั่นจึงเป็นเหตุให้บรรดาแกนนำของพรรคนายใหญ่ เรียกร้องว่า หากไม่มีอะไรปิดบังก็ให้ธนาธรพูดมาให้หมดว่าไปคุยเรื่องอะไรไว้กับทักษิณบ้าง
ความจริงอีกประการเรื่องชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่ เปลี่ยนเป็นก้าวไกล และมาถึงพรรคประชาชน น่าจะเป็นไปอย่างที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่เวลานี้สวมหัวโขนผู้ช่วยหาเสียงใบเดียวกันกับทักษิณว่าไว้ หลังจากโหวตพิธาครั้งแรกไม่ผ่าน ตนเชื่อด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าพรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่ได้ อย่างน้อยก็ตลอด 4 ปีของอายุสภานี้ และเชื่อด้วยว่าตั้งแต่ยุบอนาคตใหม่ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ยุบพรรคก้าวไกล และอาจเลยไปถึงชะตากรรมของ 44 สส.ที่อยู่ในชั้น ป.ป.ช.เป็นเรื่องเดียวกัน
แทบจะไม่ต้องเดากันว่าเป็นเรื่องอะไร ความสุดโต่งคืออุปสรรคสำคัญในการทำงานการเมืองของพรรคสีส้ม เพราะการทำงานความคิดกับผู้คนในสังคมย่อมมีหลากหลายรูปแบบและวิธีการ หากต้องเป็นไปตามแนวทางของพรรคใดพรรคหนึ่งเพียงอย่างเดียว ก็ยากที่จะเรียกว่าวิถีทางประชาธิปไตย ถูกอย่างที่ณัฐวุฒิว่า สิ่งที่พรรคประชาชนพบไม่มีอะไรที่พรรคเพื่อไทยไม่เคยเจอ โดยเฉพาะเรื่องการรื้อโครงสร้างในจังหวะที่สังคมยังไม่สุกงอมพร้อมพอที่จะเปิดใจพูดคุย
ความมั่นใจที่ทักษิณเชื่อว่าจะนำพาเพื่อไทยกลับมายิ่งใหญ่นั้น ด้านหลักคงอยู่ที่ผลงานในการแก้ปัญหาให้กับประชาชน ภาพใหญ่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ ปากท้อง แต่ที่คนส่วนใหญ่อาจมองข้ามไป น่าจะเป็นการดูแลแก้ปัญหามิติทางสังคม ซึ่งณัฐวุฒิชี้ว่าสิ่งที่เพื่อไทยพยายามทำคือขับเคลื่อนสังคมไปข้างหน้าทีละก้าว เรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียม การมี พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมก็ถือเป็นการทลายกำแพงในเรื่องการกีดกันทางเพศได้สำเร็จ จนเป็นที่ยอมรับของสังคมโลก
ขณะเดียวกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ ครม.เพิ่งเห็นชอบการเร่งรัดหลักเกณฑ์การให้สัญชาติชนกลุ่มน้อยที่อาศัยในประเทศไทยมายาวนาน จำนวน 4.83 แสนคน แม้อาจเป็นก้าวไม่ใหญ่นัก แต่ก็เป็นก้าวสำคัญและจะเป็นฐานยืนสำหรับก้าวต่อ ๆ ไป ต้องเข้าใจว่าจากไทยรักไทย มาเป็นพลังประชาชน จนถึงเพื่อไทยนั้น เห็นกันอยู่ว่าพรรคของนายใหญ่ถูกกระทำจากอะไร ความเกลียดชังที่ใช้ม็อบจัดตั้งเป็นตัวจุดชนวน ก่อนจะยิ่งใหญ่จนถูกเรียกว่า “ม็อบมีเส้น” นั้น เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลังความสำเร็จจากการยึดอำนาจหนแรกของ คมช.แต่ถูกโจมตีว่าเสียของ กระทั่งต้องเกิดการรัฐประหารซ้ำโดย คสช. ดูเหมือนจะดีที่ล้มล้างระบอบทักษิณสำเร็จ ทว่ากลับเกิดกระแสใหม่กลายเป็นเรื่องทะลุฟ้า ทะลุมิติ โดยที่เผด็จการสืบทอดอำนาจไม่สามารถจัดการอะไรได้ ท้ายที่สุดจำต้องจัดให้มีการเลือกตั้ง จังหวะนี้แหละที่ต้องมีการจัดระเบียบทางการเมืองกันใหม่ โดยอาศัยนักการเมือง และพรรคการเมืองที่ไม่สุดโต่งเข้ามาบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นดีลแบบไหน ดีลซ้ำดีลซ้อนหรือไม่ แต่ผู้ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการเจรจา ได้รับการการันตีว่าถ้าไม่มีเรื่องทุจริตบานทะโร่ ได้อยู่กันยาว ๆ ล้านเปอร์เซ็นต์
ไม่ใช่แค่หมดสมัยของรัฐบาลนี้เท่านั้น เมื่อโจทย์เป็นภาคบังคับว่าพรรคร่วมที่จับมือกันเวลานี้ยังมีภารกิจที่จะต้องสานต่อกันอีกหลังเลือกตั้งครั้งหน้า นั่นจึงเป็นเหตุให้ทักษิณย้ำว่า ไม่มีปัญหาความขัดแย้ง เรื่องไหนที่เห็นไม่ตรงกันก็คุยกันให้ได้ข้อยุติ ส่วนเรื่องนิติสงครามที่ถูกเล่นงานต่อเนื่องนั้นเป็นโอกาสของบรรดานักร้องที่รับงานจากคนที่ยังอยากเป็นใหญ่เป็นด้านหลัก การเห็นคนที่เป่านกหวีดไล่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่กลับมายกมือหนุนแพทองธารเป็นนายกฯ ประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยได้ เหล่านี้ก็บ่งบอกว่าการเมืองของประเทศไม่ได้เดินกันเหมือนยุคของความขัดแย้ง แตกแยกอีกแล้ว
อรชุน