สงครามการค้า & สงครามไซเบอร์

หลังอดีตประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ทำให้ “ตลาดทุนทั่วโลก” ประหวั่นพรั่นพรึงตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียปรับตัวลง


หลังอดีตประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง และมีพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งวันที่ 20 ม.ค. 68 ทำให้ “ตลาดทุนทั่วโลก” ประหวั่นพรั่นพรึงตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียปรับตัวลง ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และราคาทองคำปรับลดลงอย่างรวดเร็ว 

ด้วยความกังวลต่อนโยบายของ “ทรัมป์” ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 โดยเฉพาะนโยบายตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าจากประเทศจีนจนอาจเกิดการตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีกับสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน หรือที่เข้าใจตรงกันว่า “สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน” กำลังปะทุขึ้นมาอีกครั้งนั่นเอง..

แต่ระหว่างที่สงครามการค้า (รอบใหม่) กำลังจะบังเกิดขึ้น..ล่าสุดเกิด “สงครามไซเบอร์สหรัฐฯ-จีน” เริ่มต้นจุดชนวนใหม่กันอีกครั้งแล้ว..!??

โดยมีรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ (อ้างอิงข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ) ที่ระบุว่า “บรรดากลุ่มแฮกเกอร์” ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ได้ทำการ “ก่อจารกรรมทางไซเบอร์” ด้วยการเจาะข้อมูลบริษัทโทรคมนาคมหลายแห่งในสหรัฐฯ จนทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติอย่างร้ายแรง 

“กลุ่มแฮกเกอร์” ที่ว่า..มีการเจาะเข้าเครือข่ายของบริษัทโทรคมนาคม เพื่อขโมยข้อมูลประวัติการโทรและข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบางกลุ่มของรัฐบาลและนักการเมือง รวมถึงคัดลอกข้อมูล ที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กำลังสืบสวนเรื่องนี้

แต่..ปฏิเสธที่จะเปิดเผยระดับความเสียหายดังกล่าว..!???

สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) และหน่วยงานความมั่นคงทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ (CISA) กำลังให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่อาจตกเป็นเหยื่อของการโจมตี

ขณะที่ตัวแทนจากสถานทูตจีนในสหรัฐฯ..ยังไม่ได้ออกมาให้ความคิดเห็นใด ๆ ออกมา..

สื่อใหญ่อย่าง “วอลล์สตรีทเจอร์นัล” รายงานว่า บริษัท AT&T และ Verizon Communications เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกเจาะข้อมูล โดยกลุ่มแฮกเกอร์อาจเข้าถึงระบบที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อใช้สำหรับดักฟังตามคำสั่งศาล เจ้าหน้าที่ข่าวกรองเชื่อว่ากลุ่มแฮกเกอร์จีนนี้ เป็นกลุ่มที่บริษัท Microsoft เรียกว่า Salt Typhoon ที่อาจแทรกซึมอยู่ในเครือข่ายโทรคมนาคมของสหรัฐฯ มาหลายเดือนและพบช่องทางไปสู่ระบบดักฟังที่มีการอนุมัติจากศาล

ขณะที่ “นิวยอร์กไทมส์” รายงานว่า กลุ่มแฮกเกอร์ดังกล่าว มีเป้าหมายการขโมยข้อมูลโทรศัพท์ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์, ผู้สมัครรองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์, ครอบครัวของทรัมป์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ทีมงานรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส และบุคคลอื่น ๆ

อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่ายังไม่สามารถระบุขอบเขตทั้งหมดของการโจมตีได้และต้องใช้เวลาการตรวจสอบว่า ใครถูกโจมตีบ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าครอบคลุมทุกแง่มุมที่เกี่ยวข้อง

ขณะนี้การสอบสวนยังอยู่ขั้นตอนเริ่มต้นและทางการได้แจ้งเตือนองค์กรหลายสิบแห่ง รวมถึงบริษัทโทรคมนาคมที่ถูก Salt Typhoon เพ่งเล็งด้วย

ทว่า..นอกจากบริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่ใหญ่แล้ว ยังมีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตภาคพื้นภูมิภาคที่ถูกโจมตีและเป็นไปได้ว่ากลุ่ม Salt Typhoon กำลังดักฟังข้อมูลผ่านระบบดักฟัง หลังจากเลือกหมายเลขที่ต้องการและหลีกเลี่ยงระบบป้องกันมีอยู่แล้ว

ช่วงต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐสภาได้รับรายงานสรุปลับจากหน่วยข่าวกรองแห่งชาติเกี่ยวกับการเจาะของ Salt Typhoon โดย “รอน ไวเดน” วุฒิสมาชิกแห่งรัฐออริกอน กล่าวว่า “มีความกังวลเรื่องนี้มากและคิดว่าเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยทีเดียว”

แม้ว่าขณะนี้..ยังไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่พิสูจน์ได้ชัดว่า “รัฐบาลปักกิ่ง” อยู่เบื้องหลังการจารกรรมทางไซเบอร์หรือไม่..แต่ท่าทีจากฝั่งสหรัฐฯ จะเชื่อไปแล้วว่า “จีน” อยู่เบื้องหลังเป็นแน่แท้..!!

นั่นจึงเป็นการซ้ำเติม “สงครามการค้ารอบใหม่” โดยมี “สงครามไซเบอร์” เป็นตัวเติมเชื้อไฟและอาวุธได้เป็นอย่างดี..!!??

Back to top button