ลงแล้วขึ้น..ขึ้นแล้วลง

เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ “โมนิก้า” อยากเปิดประเด็นด้วยเรื่องทิศทางหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร? เพราะก่อนหน้านี้ทำท่าเหมือนจะหมดแรงก่อนเวลาอันควร


เริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ “โมนิก้า” อยากเปิดประเด็นด้วยเรื่องทิศทางหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร? เพราะก่อนหน้านี้ทำท่าเหมือนจะหมดแรงก่อนเวลาอันควร แต่ก็มีแรงฮึดกลับมายืนในแดนบวกได้ทุกที ผนวกกับการประคองตัวยืนเหนือแนวรับที่เป็นจุดเด้งกลับบริเวณ 1,442 จุด ยังทำได้อย่างยอดเยี่ยม ส่งผลให้การเคลื่อนตัวของดัชนีในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมายังป้วนเปี้ยนไปมาในกรอบ 1,440-1,460 จุดไงล่ะคะ

ที่น่าสนใจคือ ในช่วงที่ตลาดหุ้นต่างประเทศร่วงลงแรง แต่ตลาดหุ้นไทยยังเอาตัวรอดได้เป็นประจำ “โมนิก้า” เลยอยากให้นักลงทุนจับสัญญาณการเล่นเที่ยวนี้ให้ดีเป็นพิเศษ เพราะสเตปการเคลื่อนตัวเป็นลักษณะ W-Shape ซึ่งมีจุดขายทำกำไรช่วงสั้นที่ชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีการบอกจุดรับของให้นักเล่นได้รู้แบบนี้ เดี๊ยนถือเป็นเรื่องวิจารณญาณของนักลงทุนมองสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแบบไหนพะย่ะค่ะ

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เดี๊ยนต้องตั้งคำถามว่า การยืนปิดของดัชนีที่ระดับ 1,452.78 จุด บวกไป 10.15 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.83 หมื่นล้านบาท เหมาะต่อการไหลตามน้ำขนาดไหน? แถมโมเมนตัมเที่ยวนี้เหวี่ยงกลับไปหาหุ้นแบงก์อีกครั้ง และกองทุนวายุภักษ์ กับ “ต่างชาติ” มีบทบาทมากขึ้น “โมนิก้า” จึงพยายามเสาะหาคำตอบที่ทำให้หุ้นแต่ละตัว “ขึ้นแรง ลงแรง” เพื่อแฟนคลับจะได้ประเมินสภาพหุ้นได้ถูกเจ้าค่ะ

โดยเฉพาะการคัมแบ็กของหุ้น KBANK ซึ่งเป็นการบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 พร้อมกับยืนปิดที่ระดับ 149 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 1% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.89 พันล้านบาท เดี๊ยนคงต้องอิงคำตอบจากวงจรธุรกิจที่เข้าไฮซีซั่นเป็นเรื่องแรก ส่วนเรื่องที่สองคงมาจากกองทุนนกเข้ามาลุยหุ้น และประเด็นสุดท้ายคงเป็นเรื่องวงรอบหุ้น ซึ่งเมื่อดูรวม ๆ ก็ช่วยหนุนให้หุ้นไปต่อ เพราะราคาเป้าที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ก่อนหน้านี้..อัพไซด์เพียบจ้า

เช่นเดียวกับแบงก์ตราดอกบัว BBL มีสตอรี่ที่น่าสนใจเยอะแยะไปหมด แต่ราคาหุ้นก็ขานรับข่าวดีได้เพียงแค่นี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของสถานการณ์โดยรวมไม่เอื้อมากกว่า จึงต้องเข้าใจเหตุผลที่ราคาหุ้นยืนปิดได้แค่ระดับ 151 บาท บวกไป 2.50 บาท หรือขึ้นไป 1.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.22 พันล้านบาท และถ้าย้อนดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมาจะเห็นว่า เขาก็เล่นบนกรอบราคา 146-152 นะออเจ้า

ส่วนรายที่ลุ้นหนักหน่อย “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นปูนใหญ่ SCC เพราะราคาหุ้นไหลลงลูกเดียวแบบไม่มีลิมิต และทุกครั้งที่ราคาหุ้นเริ่มดีดตัวในระหว่างทางขาลง แต่สุดท้ายก็นำมาซึ่งโลว์ใหม่เป็นประจำ เดี๊ยนเลยหวังในใจว่า การยืนปิดที่ระดับ 193.50 บาท บวกไป 6.50 บาท หรือขึ้นไป 3.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 863 ล้านบาท น่าจะไม่เหมือนกับรอบที่ผ่านมา เพราะตัวอีฉันเองก็กังวลเรื่องกำไรจะออกมาดีแค่ไหนเหมือนค่ะ

ประหลาดสุดคงเป็นในรายของ MCOT เพราะยังแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นเนือง ๆ ทั้งที่การรับรู้กำไรพิเศษก็มีแค่ครั้งเดียว และการขยับไปทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย “โมนิก้า” เลยไม่เข้าใจเหตุผลที่ราคาหุ้นเด้งขึ้นมาปิดที่ระดับ 6.35 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 18.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 100 ล้านบาท เพราะสิ่งที่รับรู้มาตลอดก็คือ ธุรกิจที่ทำทุกวันนี้..เหมือนสาละวันเตี้ยลงน่ะซี

ในเมื่อชอบลุ้นกันทั้งที “โมนิก้า” ขอเอ่ยถึงหุ้น ERW เพื่อชี้ให้เห็นกรอบการเคลื่อนตัวใหญ่ ๆ ในช่วง 2 เดือนครึ่งอยู่ที่ระดับ 3.80-4.60 บาท แต่วงรอบเล็ก ๆ ที่เล่นก่อนหน้านี้อยู่ที่ระดับ 3.80-4.10 บาท เดี๊ยนเลยสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อพบว่า วานนี้หุ้นพุ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 4.18 บาท บวกไป 0.26 บาท หรือขึ้นไป 6.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 224 ล้านบาท ซึ่งเป็นลักษณะที่ส่อไปในทางที่ว่า หุ้นพร้อมจะขึ้นไปทดสอบไฮเดิมอีกครั้งนะตัวเอง

ปิดท้ายกันที่ข่าวช็อกวงการกันสักหน่อย เพราะมีข่าวออกมาจากสื่อรายงานว่า “หมอสิ้นบุญ”  ที่ซุ่มเงียบเป็นเวลานานตั้งแต่มีเรื่องโกงเงินเกิดขึ้น บัดนี้ได้เก็บเสื้อผ้าหนีต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทำให้ผู้เสียหายหงายท้องกันเป็นแถว เพราะหมดโอกาสได้เงินคืนไปโดยปริยายนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะข่าวลักษณะนี้มักทำให้นักลงทุนทยอยหันหลังให้กับตลาดหุ้นพะย่ะค่ะ

โมนิก้า: และทีมงาน

Back to top button