พาราสาวะถี
การเทเดิมพันหมดหน้าตักด้วยการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว พ่วงด้วยข้อกล่าวหาตระบัดสัตย์ ย่อมเป็นสัญญาณลุยไฟของพลพรรคเพื่อไทย
การเทเดิมพันหมดหน้าตักด้วยการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว พ่วงด้วยข้อกล่าวหาตระบัดสัตย์ ย่อมเป็นสัญญาณลุยไฟของพลพรรคเพื่อไทย เหตุผลที่ ทักษิณ ชินวัตร ออกมาปรากฏตัวพร้อมแสดงความชัดเจนทางการเมือง หลังจากเว้นว่างความเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อให้ลูกสาวคนเล็กจัดทัพ ครม. และจัดกระบวนการทำงานให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย นั่นเป็นเพราะไม่ว่าจะวางเฉย ไม่ข้องแวะใด ๆ กับรัฐบาลหรือพรรคแกนนำ ก็ถูกเล่นงานจากฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี
เมื่อผลลัพธ์ระหว่างการอยู่แบบเงียบ ๆ กับมีแอ็กชันทางการเมือง ในแง่ของพวกขาประจำก็ตามล่าตามไล่บี้ที่จะหาช่องเอาผิดอยู่วันยังค่ำ สู้ออกมาเคลื่อนไหว วัดกระแส และสร้างเรตติ้งให้กับตัวเองและรัฐบาลจะดีกว่า ดังนั้น การเดินหน้า ความมั่นใจว่าเพื่อไทยจะกลับมาคว้าเก้าอี้ สส.ได้ไม่น้อยกว่า 200 ที่นั่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า ย่อมเป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายตรงข้ามได้รับรู้ว่า จากนี้ทั้งนายใหญ่ รัฐบาลและพรรคแกนนำจะไม่มีการใส่เกียร์ถอย หรือจด ๆ จ้อง ๆ เหมือนขวบปีแรกภายใต้การนำของ เศรษฐา ทวีสิน อีกแล้ว
ผลการประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ แพทองธาร ชินวัตร นั่งหัวโต๊ะเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา การแจกเงินหมื่นเฟสสอง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างหนี้ที่เคาะกันมา ล้วนแล้วแต่เป็นการขับเคลื่อนเพื่อที่จะแสดงให้เห็นศักยภาพในการบริหารบ้านเมืองที่เพื่อไทยเป็นแกนนำ ไม่ว่าจะถูกครหาเรื่องการชี้นำจากนายใหญ่อย่างไร แต่ต้องไม่ลืมว่า ครม.ชุดนี้คือรัฐบาลผสม ที่ไม่ใช่ว่าพรรคหนึ่งพรรคใดจะสามารถตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ตามอำเภอใจ
ทุกอย่างต้องผ่านกระบวนการปรึกษา หารือ ถกเถียงให้ตกผลึกก่อนจะเดินหน้า เว้นเสียแต่ว่าบางอย่างที่เป็นเรื่องอำนาจของบุคคล หรือกระทรวงภายใต้ความรับผิดชอบของพรรคการเมืองนั้น ต้องให้เกียรติในการตัดสินใจของผู้ที่กำกับดูแล เหมือนกรณีประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งผ่านกระบวนการเลือกจากคณะกรรมการมาแล้ว จนป่านนี้ยังไร้วี่แววว่าตกลง กิตติรัตน์ ณ ระนอง รายชื่อที่กระทรวงการคลังเสนอนั้น ผ่านการเลือกให้นั่งเก้าอี้ดังกล่าวหรือไม่
เต็มไปด้วยคำถาม เพราะหลังการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มี สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ซึ่งใช้เวลาถกกันนานกว่า 5 ชั่วโมง หลังการประชุมต่างแยกย้าย ไม่มีการตั้งโต๊ะแถลงผลให้สาธารณชนได้รับรู้ ขณะที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลังในฐานะผู้ที่จะต้องนำชื่อคนที่ผ่านการเลือกชงเข้า ครม. ก่อนนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง ยังเล่นบทปฏิเสธ ไม่รู้ไม่เห็นเพียงอย่างเดียว
ท่วงทำนองเช่นนี้ถือเป็นกระบวนท่าทางการเมืองที่แต่ละพรรคจะต้องรับหน้าที่ในการที่จะชี้แจง กรณีที่สังคมสงสัย ทั้งที่ความจริงกรณีประธานบอร์ดแบงก์ชาติ นอกเหนือจากบทบาท หน้าที่ที่อธิบายให้คนเข้าใจแล้ว การเลือกที่แม้จะเต็มไปด้วยกลุ่มเคลื่อนไหวคัดค้านประเด็นชื่อของกิตติรัตน์ที่เคยเกี่ยวพันทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย แต่สถานะในปัจจุบันเป็นอย่างไรต้องบอกกล่าวกันให้ชัดเจน จุดสำคัญเมื่อเทียบเคียงคุณสมบัติระหว่างเสี่ยโต้ง กับอีกสองคนที่เสนอชื่อมาโดย ธปท.ก็น่าจะเห็นความต่าง และคนส่วนใหญ่ก็เข้าใจได้ว่า ใครคือคนที่เหมาะสมกว่ากัน
ยิ่งทำลับ ๆ ล่อ ๆ ยิ่งทำให้เกิดความคลางแคลงใจ และกลุ่มเคลื่อนไหวที่มีนัยอื่นแอบแฝงก็ยิ่งรุกไล่ ไม่ยอมรับผลจากที่ประชุมได้ข้อสรุปกันมาแล้ว เมื่อท่าทีทางการเมืองของทักษิณได้แสดงความชัดเจนไปแล้ว หลังจากนี้ทุกอย่างในฐานะพรรคอันดับหนึ่งของรัฐบาล แพทองธารและบรรดาแกนนำพรรคจะต้องกล้าที่จะแสดงความเด็ดเดี่ยวต่อการตัดสินใจ หรือบอกกล่าวกับสังคมในทุกเรื่องที่เห็นว่าคนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ เว้นเสียแต่ประเด็นที่ต้องอาศัยความเห็นชอบร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาล
การขยับตัวของทักษิณเที่ยวนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้แกนนำคู่แข่งสำคัญอย่างพรรคประชาชนต้องดาหน้าออกมาตอบโต้ ท้าชกข้ามรุ่นกันเท่านั้น ภายในพรรคร่วมด้วยกันเองต่างก็จ้องมองตาไม่กะพริบ เริ่มตั้งแต่คำพูดเด็ดแกนนำพรรคซีกรัฐบาลมากินมาม่าอร่อยที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ถ้าเป็นก่อนหน้าอาจทำให้หลายพรรคถอดใจ ยอมรับสภาพว่าคงไม่รอดที่จะถูกจัดการ ยอมรับกันขนาดนี้เท่ากับว่ามีการพูดคุย และอาจเข้าข่ายถูกครอบงำจริง
แต่พอตั้งหลักได้ต่างก็เข้าใจตรงกันทันที ไม่ว่าจะมีอะไรที่เข้ามากระแทกรายทางระหว่างที่ยังจับมือกันในฝ่ายบริหาร ไม่จำเป็นต้องหวั่นไหว ใครมีหน้าที่อย่างไรให้ตั้งหน้าตั้งตาทำไปให้เต็มที่ เดินด้วยกันมาขนาดนี้ต้องมั่นใจว่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง ส่วนปัญหาความขัดแย้งระหว่างกันย่อมมีบ้างเป็นธรรมดา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นระหว่างพรรคแกนนำกับพรรคอันดับสองในรัฐบาล ไม่ได้เป็นเรื่องขบเหลี่ยมกันระหว่างนายใหญ่กับอาจารย์ใหญ่
หากแต่เป็นประเด็นของปัญหาที่เกิดมาก่อนที่จะตั้งรัฐบาล จึงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องที่แต่ละฝ่ายซึ่งมีหน้าที่ไปจัดการ และพร้อมที่จะรับผิดชอบกันเองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังการตัดสินใจ ปมที่ดินเขากระโดง บุรีรัมย์ ที่ทำท่าว่าจะเกิดการเขม่นกันระหว่าง กระทรวงมหาดไทยที่ดูแลกรมที่ดิน กับคมนาคมที่ดูแลการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ รฟท. การแสดงออกของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงไม่ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล หรือ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ถือเป็นบทบาทที่ต้องทำตามหน้าที่
ในแง่การปฏิบัติเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่สุดท้ายจะต้องไปจบกันที่กระบวนการยุติธรรม การที่มีการลากโยงไปถึงกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่จะพันไปถึงแพทองธาร ทางการเมืองหากมองในจุดที่จะเตะตัดขากันย่อมมีความเป็นไปได้ แต่ฝ่ายที่จะเปิดเกมต้องพร้อมที่จะรับผล ซึ่งสุดท้ายอาจกลายเป็นเรื่องการใช้ดุลยพินิจสองมาตรฐาน บางรายอาจติดคุกไม่รู้ตัว จากที่ควรปล่อยให้แต่ละเรื่องว่ากันไปตามครรลอง หากไปดึงเอามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง มองกันแล้วว่าได้ไม่คุ้มเสีย
อรชุน