สปอตไลต์ส่อง JAS อีกครั้ง!

เส้นทางนักลงทุน

สปอตไลต์ฉายไปที่บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS อีกครั้ง ภายหลังบริษัทฯ ประกาศได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว (Exclusivity right) ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ ผ่านช่องทาง Internet TV และ Digital TV รวมถึงชุดวิดีโอสั้น (Clips package) ครอบคลุมพื้นที่ประเทศไทย ลาว และกัมพูชา มูลค่ารวมทั้งสิ้น 559,980,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 19,167,723,414 บาท

โดยสิทธิ์ดังกล่าวจะมีอายุตลอดระยะเวลารายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพครอบคลุม 6 ปี เริ่มตั้งแต่ต้นฤดูกาลฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ 2025/2026 หรือ 6 ฤดูกาล

คำถามที่ตามมาก็คือ แม้ JAS ยืนยันว่ามีความพร้อมทางด้านแหล่งเงินทุนที่จะมาจากทั้งในส่วนของบริษัทเองและการกู้ยืมสถาบันการเงิน และมูลค่าสิทธิ์นี้ก็ไม่ได้สูงไปกว่าที่รายอื่น ๆ เคยได้รับสิทธิ์ แต่ก็ยังมีประเด็นความห่วงใยในเรื่อง “การทำกำไรว่าอาจจะเหนื่อย”

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้บริหาร JAS แล้ว สิทธิ์นี้มีความหมาย และจะมีผลส่งต่อไปในอนาคต ภายใต้ความคาดหวังทางการเงินจากการลงทุนครั้งนี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2568-2569 ว่า จากจำนวนผู้ชมพรีเมียร์ลีก (EPL) ในไทยอาจสูงถึง 6 ล้านคน เพราะได้สำรวจตลาดแล้วพบว่าลูกค้าที่จ่ายเงินเพื่อดู EPL มีอยู่ประมาณ 1.2 ล้านคน, ลูกค้าที่จะจ่ายเงินเพื่อรับชมการแข่งขัน EPL ผ่านช่องทางอื่น ๆ รวมถึงช่องทางที่ผิดกฎหมายอาจถึง 1.8 ล้านคน และแฟน EPL ราว 3 ล้านคน จะได้รับชมคลิปสั้น ๆ สำหรับไฮไลต์การแข่งขันผ่านแพลตฟอร์มรับชมฟรี

JAS จะกำหนดค่าธรรมเนียมรายเดือนสำหรับการแข่งขัน EPL ทุกแมตช์ไม่เกิน 400 บาท ราคานี้ผู้บริโภคน่าจะสนใจ ไม่เพียงแต่ลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการรายอื่น ซึ่งมีสิทธิ์ในการถ่ายทอด EPL เท่านั้น แต่ยังรวมถึงลูกค้าที่สมัครใช้แพลตฟอร์มต่างประเทศและลูกค้าที่สมัครรับบริการฟรีอีกด้วย

อีกเหตุผล เป็นเรื่องเทคโนโลยีการออกอากาศแบบดิจิทัลในปัจจุบันมีความก้าวหน้า ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพมากกว่าในอดีต นอกจากการถ่ายทอดการแข่งขัน EPL 2-3 แมตช์ต่อสัปดาห์ ผ่านช่องทีวีดิจิทัลฟรีแล้ว JAS จะถ่ายทอดการแข่งขัน EPL ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเองด้วยระบบการส่งแบบตัวต่อตัว และเทคโนโลยีการเข้ารหัสจะช่วยแก้ปัญหาการผลิตเนื้อหาโดยไม่ได้รับอนุญาต

เมื่อรวมกับองค์ประกอบสำคัญ คือ การหาพันธมิตรที่เหมาะสม โดย JAS จะเริ่มเจรจารูปแบบรายได้ที่หลากหลายกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ด้านโทรคมนาคม ด้านธนาคาร ด้านสปอนเซอร์และด้านสื่อ บวกเข้ากับความมุ่งมั่นจะเป็นผู้นำในการให้บริการวิดีโอสตรีมมิ่งในประเทศไทย ผ่านความนิยมของ EPL ที่ได้รับสิทธิ์ครั้งนี้ ถือเป็นโมเดลธุรกิจที่ผู้บริหาร JAS ใช้เพื่อตอบคำถามดังกล่าว

ผู้บริหาร JAS มั่นใจว่าจะมีสมาชิกแบบชำระเงินราว 3 ล้านคนในปีแรก จากการมีคอนเทนต์ EPL เป็นที่นิยมและตั้งราคาได้เหมาะสม โดยปัจจุบันสมาชิกแบบชำระเงินผ่าน MonoMax จ่ายเงินประมาณ 100 บาทต่อเดือน สำหรับคอนเทนต์ซีรีส์เอเชีย และจะจ่าย 400 บาทต่อเดือน สำหรับทุกแมตช์ของ EPL รวมกับซีรีส์เอเชีย ซึ่ง JAS จ่ายเงินให้ MONO 50 บาทต่อสมาชิกที่ชำระเงินต่อเดือน สำหรับการจัดการการตลาดและการจัดจำหน่าย JAS TV

การได้รับสิทธิ์ดังกล่าวนี้ ทำให้โบรกเกอร์มีมุมมองเชิงลบต่อ JAS น้อยลงทันที โดยบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ระบุว่า ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ถือ” จากเดิม “ขาย” เนื่องจากข้อตกลง EPL มีความชัดเจนมากขึ้น ข้อตกลงความร่วมมือที่จะมีกับพันธมิตรต่าง ๆ จะทำให้ตลาดมั่นใจมากขึ้นในความสำเร็จ

ปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 ขึ้น 25.5% เป็น 2.52 บาท จากเดิม 2.01 บาท โดยนำมูลค่าข้อตกลง EPL และมูลค่าทางบัญชีของอาคาร JAS มารวมในการประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ ซึ่งเพิ่มมูลค่าข้อตกลง EPL ได้ 1.02 หมื่นล้านบาท หรือ 1.22 บาทต่อหุ้น และอาคาร Jasmine ได้ 1.60 พันล้านบาท หรือ 0.18 บาทต่อหุ้น

และปรับเพิ่มมูลค่าตามสัดส่วนของ JTS จาก 1.80 พันล้านบาท เป็น 2.90 พันล้านบาท หรือ 0.35 บาทต่อหุ้น โดยนำมูลค่าตลาดของ BTC ที่ถืออยู่มารวมด้วย โดยมีความรู้สึกเชิงบวกของตลาดต่อธุรกิจขุด BTC และการลงทุน BTC ของ JTS หลังจาก BTC พุ่งสูงขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้

รวมทั้งพิจารณาลดมูลค่าของ 3BBIF ลง 27.6% จาก 2.20 พันล้านบาท เป็น 1.60 พันล้านบาท หรือ 0.19 บาทต่อหุ้น หลังจาก JAS ขายหุ้นบางส่วนในตลาด ตลอดจนหักมูลค่าที่แท้จริงของ JAS-W4 ออก เนื่องจากมีการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์อย่างมีประสิทธิผล และลดเงินสดในมือในปัจจุบันลงจาก 7.80 พันล้านบาท เป็น 4.80 พันล้านบาท

ประเด็นความห่วงใยว่า “การทำกำไรอาจจะเหนื่อย” เป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป แต่ในเบื้องต้น…การได้รับสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ ทำให้สปอตไลต์ฉายแสงไปที่ JAS อีกครั้ง