เฉาสุด ๆ
คดีฉ้อโกงที่เกิดจากการกระทำของ “หมอสิ้นบุญ” และพรรคพวกที่เกิดขึ้นคราวนี้ ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่สะเทือนวงการตลาดหุ้นชนิดที่ผู้เกี่ยวข้องหน้าชาไปตามกัน
คดีฉ้อโกงที่เกิดจากการกระทำของ “หมอสิ้นบุญ” และพรรคพวกที่เกิดขึ้นคราวนี้ ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่สะเทือนวงการตลาดหุ้นชนิดที่ผู้เกี่ยวข้องหน้าชาไปตามกัน เพราะการกระทำในเที่ยวนี้มันทำกันเป็นกระบวนการ ซึ่งรอดหูรอดตาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ก.ล.ต. กับ ตลท. ไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ทั้งที่ทุกขั้นตอนมีกฎระเบียบที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแบบนี้..อีฉันจะแฉรายละเอียดทั้งหมดให้ฟังพรุ่งนี้นะจ๊ะ
เนื่องจากวันนี้ต้องเอาเวลามาเม้าท์เรื่องตลาดหุ้นที่ซึมกระทืออย่างแรง เพราะนักลงทุนเลือกใช้วิธีซุกมือในหีบเป็นส่วนใหญ่ เพราะทุกครั้งที่ชักมือออกมาเคาะขวาทีไร มักเจอกับเหตุการณ์กระเป๋าฉีกอยู่ร่ำไป “โมนิก้า” เลยไม่แปลกใจที่วานนี้ดัชนีออกลูกสะเปะสะปะ ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 1,443.31 จุด ลบไป 2.99 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.04 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นบรรยากาศการลงทุนที่แห้งเหี่ยวสุด ๆ นะจะบอกให้
ฉะนั้นการที่ใครจะมาเม้าท์ว่า ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นด้วยเรื่องนั้น ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นด้วยเรื่องนี้ “โมนิก้า” ขอแย้งกลับไปทันทีว่า วันนี้เห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจที่เป็นเนื้อเป็นหนังบ้างไหม? หากมองไม่เห็นอะไรที่จับต้องได้ ก็อย่าดันทุรังต่อไปอีกเลย เพราะมันมีแต่เจ็บตัวฟรี ซึ่งนักเล่นก็คงเห็นเหมือนกับตัวอีฉัน ถึงได้หลบเข้าข้างทางเพื่อความปลอดภัยกันเป็นแถวไงล่ะคะ
ตัวอย่างดังกล่าวดูได้จากสถานการณ์ของหุ้นกระดาษลัง SCGP ถูกถล่มขายตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 22.90 บาท ลบไป 1.10 บาท หรือลงไป 4.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.85 พันล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ทุกคนลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ราคาหุ้นตอบรับข่าวร้ายหมดแล้ว แต่ทันทีที่หุ้นทิ้งตัวลงแบบไม่มีหูรูด อีฉันก็รู้ด้วยตัวเองทันทีว่า มันคงมีอะไรแย่ ๆ รออยู่อีกเจ้าค่ะ
เหมือนกับในรายของ BCP น่าจะมีอะไรที่เกี่ยวกับผลงานเป็นประเด็นสำคัญ ถึงทำให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นแบบไม่มีเยื่อใย และถ้าย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนหน้านี้จะเห็นว่า ธุรกิจโรงกลั่นไม่ทำเงินเหมือนที่ผ่านมา แถมไตรมาส 3 ก็เพิ่งขาดทุนแบบอ่วมอรทัย เดี๊ยนเลยเชื่อว่า การยืนปิดที่ระดับ 30.75 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 5.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 652 ล้านบาท มันน่ากังวลจริง ๆ นะนายจ๋า!
เช่นเดียวกับในรายของน้องแบม BAM ถูกรินขายเป็นช่วง ๆ และดันหุ้นกลับเป็นบางวัน แต่โดยรวมยังซึมกระทืออยู่ที่บริเวณ 6.80 บาทเป็นเวลา 2 สัปดาห์กว่า ๆ แบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจอย่างเร่งด่วนว่า โอกาสที่หุ้นจะกระชากขึ้นต่อเนื่องเหมือนเมื่อก่อน คงไม่เกิดขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอน เพราะปัจจัยรอบด้านไม่เอื้อเลยสักอย่าง ส่งผลให้การการยืนปิดที่ระดับ 6.80 บาท ลบไป 0.15 บาท หรือลงไป 2.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 115 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ถูกต้องค่ะ
ส่วนรายที่ทำให้ “โมนิก้า” แปลกใจเหลือเกิน เพราะมองไม่เห็นจุดเด้งกลับ คงโฟกัสไปที่หุ้น BTG เพื่อชี้ให้เห็นการยืนปิดที่ระดับ 19 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 29 ล้านบาท พร้อมกับทำ all time low มันคือภาพสะท้อนความกังวลที่มีต่อเรื่องผลงาน จึงไม่มีใครอยากจะนอนกอดหุ้นเหมือนเมื่อก่อน แถมเมื่อเหลือบดูมูลค่าการซื้อขายที่เบาเหมือนปุยนุ่นก็รู้ได้ทันทีว่า มีแต่คนเบือนหน้าหนีนะตัวเอง
ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น STA เป็นรายถัดมา เพราะราคาหุ้นก็เอาแต่มุดหัวลงลูกเดียว ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ไม่โสภาสำหรับคนที่ยังถือหุ้นอยู่ ผนวกกับช่วงนี้คนไม่นิยมเล่นหุ้นยาง เดี๊ยนเลยสังหรณ์ใจว่า การยืนปิดที่ระดับ 17.20 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 1.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 246 ล้านบาท ไม่ใช่โลว์ของการลงเที่ยวนี้ เพราะปีนี้เคยทำโลว์ไว้ที่ระดับ 15.30 บาทมาแล้วน่ะซี
ปิดท้ายกันที่หุ้น PLANET เพื่อขยายข้อเขียนวันก่อนของ “โมนิก้า” ซึ่งว่าด้วยเรื่องเพิ่มทุน 2 บาท จึงต้องดันราคาหุ้นให้ยืนเหนือบริเวณดังกล่าว แต่วานนี้กลับโดนขายไม่ยั้ง จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 1.74 บาท ลบไป 0.17 บาท หรือลงไป 8.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 51 ล้านบาทแบบนี้ มันกระทบกับแผนเพิ่มทุนอย่างมีนัยสำคัญ และส่งผลเสียต่อแผนงานของบริษัทเต็ม ๆ นะจะบอกให้
โมนิก้า: และทีมงาน