กลต.-ตลท. หลังบ้านรั่ว?
เมื่อวานนี้เดี๊ยนได้เกริ่นนำถึงคดีฉ้อโกงที่เกิดจากการกระทำของ “หมอสิ้นบุญ” และพรรคพวกที่เกิดขึ้นคราวนี้ ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่สะเทือนวงการตลาดหุ้นชนิดที่ผู้เกี่ยวข้องหน้าชาไปตามกัน
เมื่อวานนี้เดี๊ยนได้เกริ่นนำถึงคดีฉ้อโกงที่เกิดจากการกระทำของ “หมอสิ้นบุญ” และพรรคพวกที่เกิดขึ้นคราวนี้ ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่สะเทือนวงการตลาดหุ้นชนิดที่ผู้เกี่ยวข้องหน้าชาไปตามกัน เพราะการกระทำในเที่ยวนี้มันทำกันเป็นกระบวนการ ซึ่งรอดหูรอดตาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ก.ล.ต. กับ ตลท. ไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ทั้งที่ทุกขั้นตอนมีกฎระเบียบที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด..จำได้ใช่ไหมคะ
วันนี้เลยจะมาสานต่อเรื่องดังกล่าวสถานการณ์ดังกล่าวให้ลึกลงไปกว่าเดิม เพราะมันกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้หน่วยงานดังกล่าวต้องออกมาล้างบ้านอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนการท้าทายระบบแบบไม่เห็นหัว “โมนิก้า” จึงขอเล่าเฉพาะฉากสำคัญที่เกี่ยวข้องระบบหลังบ้าน เพราะจำนวนผู้เสียหายจากโครงการทิพย์ก็ยังไม่นิ่ง จึงทำให้มูลค่าความเสียหายอาจสูงกว่า 7.50 พันล้านบาทนะจะบอกให้
สิ่งที่ “โมนิก้า” จะมาพูดถึงก็คือ ขั้นตอนการฉ้อโกงเที่ยวนี้อาศัยตราประทับที่หน่วยงานกำกับมอบให้แก่คนที่ขึ้นทะเบียน ซึ่งเป็นกระบวนการควบคุมที่สามารถตรวจสอบได้ และเป็นการยืนยันตัวตนของคนที่ได้รับอนุญาตให้คำปรึกษาการลงทุนได้ดีสุด แต่เหตุไฉนคนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และ ตลท. ถึงตกม้าตายกันแบบง่าย ๆ ทั้งที่รายละเอียดดังกล่าวเป็นระเบียบพื้นฐานที่ต้องนำไปปฏิบัติน่ะซี
ปัญหามันอยู่ตรงที่ 5 โครงการทิพย์ ซึ่งประกอบด้วย 1.ศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า 2.เวลเนสเซ็นเตอร์ ย่านพระราม 3 ริมแม่น้ำเจ้าพระยา 3.โรงพยาบาลใน สปป.ลาว 3 แห่ง 4.การร่วมทุนกับโรงพยาบาลในเวียดนาม และ 5. Medical intelligence ต้องมีคนทำสรุปข้อมูลสารสนเทศ (Info Memo)..คำถาม..ใครเป็นคนทำ? ใช่ผู้บริหาร 2 รายที่อยู่ บล.คิงส์ฟอร์ดหรือไม่เจ้าค่ะ
เมื่อย้อนข้อมูลกลับไปดูจะเห็นว่า ในช่วงเดือน ก.ย. 65 คณะผู้บริหาร (Management Team) 15 คนของโบรกเกอร์ดังกล่าว ก็ปรากฎชื่อของคนที่โดนรวบ 2 ทั้งคนนั่งในตำแหน่งสายงานธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง กับสายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจตีความได้ว่า ผู้บริหารทั้งหมดรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ไหม? และที่หนักสุดคงเป็นเรื่องเส้นเงินที่เข้ามาพันกับโบรกเกอร์แบบเต็ม ๆ ซึ่งในส่วนนี้รับเข้ามาในรูปของ “ค่าฟี” หรือ “ค่าคอม” หรือจ๊ะ
ส่วนอีกคนได้แก่ “ภัทรานิษฐ์” ก็ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในการทำหน้าที่ “ผู้วางแผนการลงทุน” โดยใบอนุญาตจะหมดอายุสิ้นปี 69 ซึ่งอีฉันได้ยินข่าวเม้าท์ให้แซ่ดว่า สังกัดค่ายที่อยู่แถวปทุมวัน แต่เผอิญเส้นเงินไปไม่ถึงโบรกเกอร์ เลยกลายเป็นความผิดเฉพาะตัวบุคคล ส่วนคนสุดท้าย “ธนภูมิ” อันนี้ไม่เป็นที่แน่ชัดมาจากไหน? เพราะไม่มีการลงทะเบียนไว้ที่หน่วยงานกำกับดูแลนะออเจ้า
เหล่านี้เป็นประเด็นที่ ก.ล.ต. คงต้องไปขันน็อตเรื่องการควบคุมภายในให้เข้มแข็งขึ้น ส่วนของ ตลท. คงมีแค่เรื่องตึ๊งหุ้นที่ต้องหาทางตรวจสอบความเป็นเจ้าของที่แท้จริงให้ได้ เพราะกรณีที่อดีตลูกสะใภ้ออกมาแฉถูกปลอมลายเซ็นเพื่อเอาหุ้นไปตึ๊ง มันทำให้ “โมนิก้า” งงเต็กอย่างแรง เพราะเท่าที่รู้มาก็คือ คนที่เป็นเจ้าของหุ้นตัวจริงเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ไปขอใบหุ้นจากศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (TSD) ไม่ใช่เหรอคะ
ประเด็นดังกล่าวเลยพุ่งตรงไปหา TSD แบบเต็ม ๆ และมีการถามถึงคนที่เข้ามาขอใบหุ้นวันนั้นเป็นใคร? และใช้อำนาจส่วนไหนมาเอาใบหุ้นออกไป! ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ผู้คนในแวดวงตลาดหุ้นข้องใจอย่างมาก? และตรงนี้เป็นประเด็นที่หน่วยงานดังกล่าวควรออกมาให้ความกระจ่างแก่สังคม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยในอนาคต (ในอดีตเคยมีเรื่องใบจองรถเพียงใบเดียว แล้วใช้หลอกคนซื้อรถหรูไปทั่ว จำกันได้บ่)..อิอิอิ
สรุปสุดท้ายวันนี้ “โมนิก้า” เห็นใจหน่วยงานทั้ง 2 แห่งจริง ๆ เพราะเขาได้วางกฎระเบียบอย่างรัดกุมเต็มที่แล้ว แต่คนมันคิดไม่ดี ย่อมหาช่องโหว่ได้อยู่ดี เดี๊ยนเลยมองว่า เรื่องนี้จะเป็นกรณีศึกษาให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เป็นอย่างดี เพราะทุกคนจะได้รู้ว่า คนพวกนี้เขาวางแผนกันอย่างไร?..ส่วนบรรยากาศตลาดหุ้น ณ ตอนนี้ ไม่มีอะไรมาจรรโลงจิตใจสักอย่าง ดัชนีถึงทรุดตัวลงมาที่ 1,438.25 จุด ลบไป 5.06 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.71 หมื่นล้านบาทเจ้าค่ะ
โมนิก้า: และทีมงาน