พาราสาวะถี

สนามเลือกตั้งนายก อบจ.ถือเป็นจุดทดสอบ วัดกำลังกันของแต่ละพรรคการเมือง โดยเฉพาะในซีกร่วมรัฐบาล เพื่อไทยพยายามอย่างยิ่งในการที่จะฟื้นความเชื่อมั่น


สนามเลือกตั้งนายก อบจ.ถือเป็นจุดทดสอบ วัดกำลังกันของแต่ละพรรคการเมือง โดยเฉพาะในซีกร่วมรัฐบาล เห็นกันแล้วว่า เพื่อไทยพยายามอย่างยิ่งในการที่จะฟื้นความเชื่อมั่น เรียกความนิยมกลับคืนมาในพื้นที่ภาคอีสานและเหนือ ที่เป็นเหมือนฐานเสียงหลักตั้งแต่ยุคไทยรักไทยเรื่อยมา ยิ่งชนะกันทุกแห่งที่ส่งลงสมัคร และมีผู้ช่วยหาเสียงชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ไปขึ้นเวทีด้วยตัวเอง จะเป็นการการันตีบารมีนายใหญ่ยังขลัง ผู้คนยังคงให้การสนับสนุนท่วมท้นเหมือนเดิม

ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งจำเป็นต้องทำตัวพับเพียบเรียบร้อย ด้วยหัวโขน มท.1 จึงจะไปแสดงตัวว่าพรรคภูมิใจไทยสนับสนุนหรือส่งใครลงสมัครไม่ได้ แต่เป็นที่รู้กันในทุกแห่งว่าใครเป็นคนของใคร เป้าหมายเลือกตั้งท้องถิ่นของพรรคสีน้ำเงินนั้น มุ่งปักหลักปักธงในพื้นที่ภาคใต้ เป็นการขยายฐาน สร้างความเชื่อมั่น ยืนยันให้ผู้สมัคร สส.ของค่ายมีความมั่นใจว่า เลือกตั้งเมื่อไหร่ มีหวังได้เก้าอี้เพิ่มขึ้นจากครั้งที่ผ่านมาแน่นอน

เพราะรู้อยู่แล้วว่าการกลับมาทำงานการเมืองเต็มตัวของนายใหญ่ จะเป็นงานยากขึ้นในการต่อสู้ของจังหวัดทางเหนือและอีสาน พยายามประคับประคอง รักษาเก้าอี้เดิมที่มีอยู่ให้ครบถือว่าเก่งแล้ว เมื่อเปิดตลาดสร้างความนิยมทางภาคใต้ได้แล้ว หลังจากนี้จะเป็นการขยายตลาด ชัยชนะจากสนามเลือกตั้งนายก อบจ.นครศรีธรรมราชล่าสุด ทำให้เสี่ยหนูมั่นใจว่าหัวคะแนน ผู้สนับสนุนทางด้ามขวานของประเทศนั้นเหนียวแน่น หนาแน่นมากกว่าเดิม

แต่ด้วยคู่แข่งล้วนเป็นประเภทเขี้ยวลากดิน จึงต้องประเมิน และจับตาความเคลื่อนไหวของแต่ละค่ายกันใกล้ชิด ประชาธิปัตย์หลังกระโดดเกาะขบวนกุมอำนาจได้สำเร็จ เร่งเดินเกมในการเรียกความนิยมกลับคืนมาเต็มที่ มีกระสุนแต่ไม่ยิงหรือยิงไม่เข้าเป้าเหมือนที่ผ่านมาเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ โจทย์ใหญ่ที่คิดกันไม่ตกคือ การต่อสู้ไม่ได้ง่ายเหมือนยุคส่งเสาไฟฟ้าลงแข่งก็ชนะอีกแล้ว หากมีตัวเลือกแค่เพื่อไทยกับพรรคเก่าแก่คนในพื้นที่ย่อมตัดสินใจง่าย

หลังการเข้ามาของเผด็จการ คสช.ที่รุ่งเรืองต่อเนื่องถึงยุคสืบทอดอำนาจ กลับเป็นหายนะครั้งสำคัญของประชาธิปัตย์ที่เสียหายทั้งใน กทม. ลามไปถึงปักษ์ใต้ พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แทบไม่ต้องพูดถึง พรรคเก่าแก่ไม่เคยกวาดได้ทั้งจังหวัดอยู่แล้ว เอาพื้นที่ที่เหลือคราวเลือกตั้งปี 2562 ถูกพลังประชารัฐแย่งชิงทั้งตัวคนสมัครและเสียงสนับสนุน กลายเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอับอาย กระทั่งปี 2566 ยิ่งหนักกว่าเดิม การเลือกตั้งครั้งหน้าย่อมหนักมากขึ้นไปอีก

ไม่เพียงแต่ภูมิใจไทยจะขยายฐาน หวังเก็บเก้าอี้ สส.เพิ่ม รวมไทยสร้างชาติที่ดูเหมือนจะเงียบแต่เป็นประเภทน้ำนิ่งไหลลึก งานทางการเมืองมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา โดยไม่ใช่หน้าที่ของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค หรือ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค หากแต่เป็นพวกอยู่หลังฉากที่ถึงเวลานี้อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ว่า จะเดินกันในนามพรรคของอดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อไป หรือจะเปลี่ยนหัวโขนเพื่อสร้างทางเลือกใหม่ให้คนใต้

พรรคโอกาสใหม่ที่มีบรรดาอดีตข้าราชการเกษียณ ระดับปลัดกระทรวงกุมบังเหียนข้างหลัง ระดับผู้ว่าราชการจังหวัดอยู่หน้าฉากทำหน้าที่ผู้บริหารพรรค ดูจากการตั้งเป้าเก้าอี้ สส. และทุนที่สนับสนุน ประสาพรรคเกิดใหม่คงไม่หาญกล้าที่จะไปท้าชิงในพื้นที่ความหวังของพรรคแกนนำรัฐบาล ยิ่งการประกาศเป็นพันธมิตรกันล่วงหน้า อาจเรียกได้ว่านี่เป็นพรรคในเครือข่ายของเพื่อไทยก็ว่าได้ ใช้เป็นตัวแทนไปสู้ศึกในสนามภาคใต้

ไม่รู้ว่าเป็นอาถรรพ์ หรือการถูกฝังความคิดให้เกลียดชังและปฏิเสธพรรคของทักษิณหรืออย่างไรไม่ทราบ จนถึง พ.ศ.นี้เพื่อไทยก็ยังไม่สามารถที่จะมี สส.ในพื้นที่ภาคใต้ได้แม้แต่คนเดียว เมื่อถูกตั้งกำแพงแบบนี้ ทางที่ดีที่สุดคือต้องหาตัวแทนที่ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ไปเป็นทางเลือกให้กับประชาชน จับตาดูเมื่อถึงจังหวะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร จะได้รู้กันว่าพรรคโอกาสใหม่มีรากที่มาแบบไหน จะเดินกันอย่างไร และอาจได้เห็นการย้ายค่าย เปลี่ยนสีเสื้อของหลายคนจากพรรคร่วมรัฐบาลด้วย

หลังการไม่รับคำร้องปมทักษิณและเพื่อไทยล้มล้างการปกครองฯ ของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ความกังวลในเรื่องงานบริหารประเทศลดน้อยถอยไป แพทองธาร ชินวัตร จะได้แสดงบทบาท โชว์ความสามารถในการบริหารมากขึ้น นับจากนี้จะได้เห็นนโยบายต่าง ๆ ผุดขึ้นมาต่อเนื่อง รวมไปถึงการขับเคลื่อนเรื่องสำคัญที่ได้เริ่มกันไปแล้วให้เห็นผลเร็วขึ้น โดยเฉพาะเงินหมื่นบาทที่กำลังจะแจกในเฟส 2 แม้จะไม่ตรงกับนโยบายเดิมที่เคยประกาศไว้ แต่ฟังเสียงตอบรับแล้วส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศทางว่าดีมากกว่าเสีย

เมื่อฝ่ายบริหารสถานการณ์เริ่มนิ่ง ฝ่ายการเมืองจึงต้องไปจัดระเบียบเรื่องต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบมายังฝ่ายกุมอำนาจ ปมร่าง พ.ร.บ.ประชามติเกี่ยวพันกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แทบจะมีบทสรุปแล้วว่า แก้ไม่ได้ในสมัยรัฐบาลนี้ หากยังมีท่าทียักแย่ยักยันกลัวผลกระทบจากกับดักที่ขบวนการสืบทอดอำนาจวางไว้ ทำไปทำมา เผลอ ๆ จะแก้กันไม่สำเร็จเสียด้วยซ้ำ ฟังจากคนที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการบอกพอจบปัญหานี้ มีปัญหาใหม่ยกมาตั้งเป็นปุจฉาทันที เหมือนมีคนพร้อมที่จะขวางอยู่ตลอดเวลา

เป็นธรรมดาของกลไกที่ทำขึ้นมาเพื่อการอยู่ยาว มีคนเสียประโยชน์ ย่อมมีผู้ได้ประโยชน์ อยู่ที่ว่าประเภทไหนจะมากกว่ากัน เมื่อพิจารณาดูแล้วการแก้ไขทำให้เสียมากกว่าได้ จึงมีความพยายามในการที่จะหาช่องทางสกัดกั้น สัญญาณจาก สว.ให้กลับไปใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้นในการทำประชามติ ถือเป็นปฏิกิริยาที่ชัดเจนของฝ่ายได้รับอานิสงส์จากรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีข้อเสนอใดก็ตามที่จะพลิกแพลงเพื่อให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญเร็วขึ้นและสำเร็จได้ เป็นแค่สิ่งที่จะต้องแสดงให้เหมาะสมกับท่าทีที่ฝ่ายตัวเองได้เคยประกาศไว้เท่านั้น ไม่ว่าจะเพื่อไทยหรือพรรคประชาชนก็ตาม

อรชุน

Back to top button