เงินเฟ้อกับภาวะกับดักสภาพคล่อง

กระทรวงพาณิชย์ของไทยได้ชื่อว่าเป็นผู้กำหนดสภาวะเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการ และข้อมูลล่าสุด ยืนยันออกมาแล้วว่าประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับภาวะกับดักสภาพคล่องเนื่องจากเงินเฟ้อขยายตัวในอัตราต่ำต่อไป


กระทรวงพาณิชย์ของไทยได้ชื่อว่าเป็นผู้กำหนดสภาวะเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการ และข้อมูลล่าสุด ยืนยันออกมาแล้วว่าประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับภาวะกับดักสภาพคล่องเนื่องจากเงินเฟ้อขยายตัวในอัตราต่ำต่อไป คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

กระทรวงพาณิชย์ เผยเงินเฟ้อ พ.ย.สูงขึ้น 0.95% แนวโน้ม ธ.ค. บวกต่อเนื่อง คาดทั้งปี 2567 เฉลี่ย 0.4 -0.5%

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน พ.ย. 2567 อยู่ที่ 108.47 หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป สูงขึ้น 0.95% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน จากตลาดคาด 0.9-1.2% โดยมีปัจจัยหลักจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันดีเซล ที่เป็นผลจากฐานราคาต่ำในปีก่อน รวมถึงราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้นจากราคาผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 11 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ย. 2567) เพิ่มขึ้น 0.32%

ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนพ.ย. 2567 อยู่ที่ 105.36 หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน สูงขึ้น 0.80% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ย 11 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 0.55%

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. ประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ธ.ค. 2567 จะเพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย. โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 1.2-1.3% สาเหตุมาจากฐานเงินเฟ้อในเดือน ธ.ค. 2566 อยู่ในระดับต่ำที่ –0.83% อีกทั้งยังเป็นช่วงที่รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลในประเทศไว้ไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ขณะที่ปีนี้ ขยับเพดานตรึงราคาดีเซลขึ้นมาอยู่ที่ 33 บาท/ลิตร

ขณะที่คาดว่าทั้งปี 2567 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4-0.5% จากเป้าหมายล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์ที่ 0.2-0.8% (ค่ากลางที่ 0.5%)

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของไทย ถือว่าอยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน จาก 8 ประเทศที่มีการประกาศเงินเฟ้อ (ใช้ข้อมูลเดือนต.ค. 2567) โดยประเทศที่เงินเฟ้อต่ำสุดในอาเซียน คือ บรูไน อยู่ที่ –0.8% ส่วนอันดับ 3 คือ สิงคโปร์ อยู่ที่ 1.4% ขณะที่ สปป.ลาว อัตราเงินเฟ้อสูงสุดในอาเซียน อยู่ที่ 20.73%

ส่วนปัญหาน้ำท่วมในภาคใต้นั้น นายพูนพงษ์ เชื่อว่า จะไม่ส่งผลกระทบทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ได้ใช้มาตรการขอความร่วมมือห้างค้าปลีกค้าส่งไม่ให้ปรับราคา และให้ซัพพลายสินค้าให้เพียงพอกับความต้องการตามนโยบาย “ห้ามขาด ห้ามแพง” ทำให้กระทรวงพาณิชย์ยังคงเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 ว่าจะอยู่ระหว่าง 0.2-0.8 % ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน

พร้อมกันนี้ มองว่า ประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยเฉพาะการเลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ แต่ไม่ใช่ว่ากำลังซื้อลดลงมาก เพียงแค่เน้นการจับจ่ายใช้สอยในสินค้าที่จำเป็นมากขึ้น

ผู้อำนวยการ สนค. ยังกล่าวถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2568 คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 0.3-1.3% (ค่ากลาง 0.8%) ภายใต้สมมติฐานที่สำคัญ ดังนี้ 1.อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2568 ที่ 2.3-3.3% 2.ราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยทั้งปีที่ 70-80 ดอลลาร์/บาร์เรล และ 3.อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย 34.00-35.00 บาท/ดอลลาร์

ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย 1.เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปี 2567 ทั้งการขยายตัวของการลงทุน และการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้อุปสงค์ต่อสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2567 และ 3.การใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้นจาก “โครงการเติมเงิน 10,000 บาท”

ขณะที่ยังมีปัจจัยที่กดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ประกอบด้วย 1.ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่าไฟฟ้า และการตรึงราคาก๊าซ LPG 2.ฐานราคาผักและผลไม้สด ในปี 2567 อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์เอลนีโญ และลานีญา ซึ่งในปี 2568 คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าว จะไม่รุนแรง และส่งผลกระทบต่อราคาไม่มากนัก 3.การไหลเข้าของกองทุน ETF บิตคอยน์-อีเธอร์สูงเป็นประวัติการณ์ การลงทุนโดยตรงในบิตคอยน์และอีเธอร์กำลังเป็นที่ต้องการอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยได้แรงหนุนจากการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะผ่อนคลายกฎระเบียบในอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี

ประเด็นสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้พูดถึงก็คือเงินเฟ้อที่ต่ำมากจนเข้าข่ายเป็นกับดักสภาพคล่อง ที่เกิดขึ้นในปี 2567 นั้น ก็ยังคงดำเนินต่อไปในปี 2568 ซึ่งจะกดดันให้อัตราดอกเบี้ยพื้นฐานของตลาดเงินไทยยังคงต่ำกว่า 3.5% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในปี 2568 ที่จะถึงนี้แม้อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในภาวะกับดักสภาพคล่องต่อไป

นี่เป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี เพราะการที่อัตราเงินเฟ้อยังคงต่ำ อัตราดอกเบี้ยก็ต่ำตาม สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังคงไม่ปกติต่อไปอีกหนึ่งปี

ภาวะเช่นนี้ไม่เป็นข่าวดีสำหรับตลาดทุนอย่างแน่นอน และยังคงเห็นสภาวะขึ้น ๆ ลง ๆ ของดัชนีตลาดหุ้นต่อไปอีกยาวนาน

ภาวะเช่นนี้นักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้น คงต้องทำใจและอดทนมากเป็นพิเศษเพราะภาวะตลาดทุนคงจะปรับตัวเป็นขาขึ้นไม่แรงนัก เว้นแต่บางบริษัทที่ใช้คนละกลยุทธ์ทางการตลาดผสมกับการหาประโยชน์จากสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งมีจำนวนน้อยรายที่จะทำเช่นนี้ได้

จากข้อเท็จจริงเช่นนี้นักลงทุนก็อย่าคาดหวังว่าจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ

วิษณุ โชลิตกุล

Back to top button