NRF ‘อภิรุม’ มาเพื่ออะไร.?
งงเป็นไก่ตาแตก..!! ที่จู่ ๆ ก็มีชื่อ “อภิรุม ปัญญาพล” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ CHG โผล่มาถือหุ้น NRF มากกว่า 5%
งงเป็นไก่ตาแตก..!! ที่จู่ ๆ ก็มีชื่อ “อภิรุม ปัญญาพล” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของบริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG โผล่มาถือหุ้นบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF มากกว่า 5% ขึ้นทำเนียบผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 4 ของ NRF ทันที…
โดยเป็นการซื้อเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 2567 จำนวน 71 ล้านหุ้น คิดเป็น 5.0082% ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 1.64 บาท ทำธุรกรรมผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
แหม๊…จะไม่ให้แปลกใจได้ไง..?? เพราะมองในมุมของธุรกิจ ระหว่าง CHG ซึ่งประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน กับ NRF ประกอบธุรกิจอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food) อาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจค้าปลีกสินค้าเอเชียแบบ Omni-channel ในสหราชอาณาจักร มันคนละสายพันธุ์…เลยไม่รู้ว่าจะ Synergy หรือเชื่อมโยงธุรกิจกันยังไง..??
ถ้าเป็นการลงทุนในนามส่วนตัว เหมือนที่ “อภิรุม” เข้าไปลงทุนในหุ้นหลาย ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นการถือหุ้นในบริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ CHIC สัดส่วน 8.46%, ถือหุ้นในบริษัท วินโดว์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ WINDOW สัดส่วน 0.80% และถือหุ้นในบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SITHAI สัดส่วน 11.68% …ก็อาจเป็นไปได้
แต่เท่าที่สแกนดู NRF ไม่ค่อยเร้าใจ…อุ๊ย ไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่นะ…หากจะหวังแคปปิตอลเกนก็คงไม่ง่าย เพราะ P/E ปาไปตั้ง 89 เท่า ในขณะที่ราคาหุ้นสาละวันเตี้ยลงเรื่อย ๆ เมื่อ 3 ปีก่อนราคาอยู่ที่ 8 บาท มีมาร์เก็ตแคป 11,341.23 ล้านบาท มาปีนี้ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.54 บาท ส่วนมาร์เก็ตแคปเหลือแค่ 2,183.19 ล้านบาท
ครั้นจะหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลยิ่งแล้วใหญ่ เพราะดิวิเดนด์ยีลด์ต่ำเตี้เรี่ยดิน ยีลด์เฉลี่ยไม่ถึง 1% เสียด้วยซ้ำ ก็ไม่เหมาะที่จะลงทุน…
โอเค…แม้ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกปี 2567 จะโชว์กำไรสุทธิ 100.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 19.56 ล้านบาท…แต่ถ้าไปดูอัตรากำไรสุทธิของ NRF จะเห็นว่าถดถอยลง จากเดิมอยู่ที่ระดับ 8-10% ล่าสุดเหลือแค่ 4% เท่านั้น สะท้อนว่าความสามารถในการทำกำไรลดลงอย่างชัดเจน
NRF จึงไม่น่าเข้าข่ายหุ้น Growth Stock นะ..!?
หันไปดูตัวเลขสำคัญทางการเงินอื่น ๆ ก็ไม่ค่อยสู้ดี…อย่างเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดก็มีติดกระเป๋าแค่ 41.07 ล้านบาท แต่มีภาระส่วนของหนี้สินระยะยาวส่วนที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีสูงถึง 1,392.08 ล้านบาท แบ่งเป็น หนี้สถาบันการเงิน 91.76 ล้านบาท และหนี้หุ้นกู้ 1,300.32 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในวันที่ 20 เม.ย. 2568…เห็นแล้วน่าเสียวไส้
ขณะที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E ratio) 9 เดือนปี 2567 อยู่ที่ 1.19 เท่า ลดลงเล็กน้อยจาก 9 เดือนปี 2566 ที่ 1.22 เท่า ด้านอัตราส่วนสภาพคล่อง (Current ratio) 9 เดือนปี 2567 อยู่ที่ 0.38 เท่า ลดลงจาก 9 เดือนปี 2566 ที่ 1.05 เท่า ซึ่งแย่ลงมาก ฟากอัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว (Quick ratio) 9 เดือนปี 2567 เท่ากับ 0.20 เท่า ลดลงจาก 9 เดือนปี 2566 ที่ 0.74 เท่า ก็แย่ลงมากเช่นกัน
เรียกว่าแคปปิตอลเกนก็ไม่ดี ปันผลก็ไม่เด่น แนวโน้มธุรกิจก็ไม่รู้จะรุ่งหรือร่วงกันแน่…แล้ว “อภิรุม” เข้ามาซื้อหุ้น NRF เพื่ออิหยัง..?? บ่เข้าใจ๋จริง ๆ
ก็น่าตั้งข้อสังเกตการมาครั้งนี้ มาด้วยความจำเป็นบางประการอ๊ะป่าว..??
อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ก็มีข่าวผู้ถือหุ้นใหญ่ NRF เอาหุ้นไปจำนำ จนถูกบังคับขายมาแล้ว คราวนี้จะเป็นการถูกบังคับขายเพื่อชำระหนี้ของใครบางคนหรือเปล่า..?? อันนี้ก็น่าคิด
ที่สำคัญ เมื่อ “อภิรุม” เข้ามาถือแล้ว…จะถือยาวแค่ไหน..??
คงเป็นอีกคำถามที่หลายคนใคร่รู้…
…อิ อิ อิ…