พาราสาวะถี

ขึ้นเวทีบรรยายในฐานะวิทยากรพิเศษวงสัมมนา สส. และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่หัวหิน เมื่อวันศุกร์ 13 ธันวาคม ที่ผ่านมา


ขึ้นเวทีบรรยายในฐานะวิทยากรพิเศษวงสัมมนา สส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่หัวหิน เมื่อวันศุกร์ 13 ธันวาคม ไม่รู้ว่าสร้างความหนักใจให้กับลูกสาวในฐานะหัวหน้ารัฐบาล หรือเป็นการแยกเขี้ยวขู่เพื่อให้พรรคร่วมเกรงใจกันบ้างในฐานะพรรคแกนนำ เมื่อ ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงการประชุม ครม.วันพุธที่ผ่านมาว่า มีรัฐมนตรีในพรรคร่วมลาประชุม คำพูดที่กล่าวถึงถือว่าหนักหน่วง “บางพรรคหลบ ป่วย อย่างนี้ไม่ใช่เลือดสุพรรณนี่หว่า ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิ”

ไม่ได้จบแค่นั้น ยังมีต่อด้วยท่วงทำนองที่ถือเป็นการท้าทาย หรืออาจจะตั้งใจวัดท่าทีของพรรคร่วมที่ถูกพูดถึงด้วยการระบุว่า “วันหลังไม่อยากอยู่ต้องบอกให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ห้ามหนี ต่อไปใครหนีก็บอกว่าถ้าหนีก็ส่งใบลาออกมาด้วย ง่ายดี ผมเป็นคนเกลียดพวกอีแอบ ตรงไปตรงมาง่าย ๆ อยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าอยู่ก็ต้องสู้ด้วยกัน” ประเด็นที่ทำให้อดีตนายกฯ ฉุนคงเป็นประเด็นนโยบายรัฐบาล เมื่อแถลงทุกพรรคยกมือเห็นด้วย พอได้เก้าอี้รัฐมนตรีกลับค่อย ๆ หลบมือออก แบบนี้ไม่ได้ ต้องตรงไปตรงมา วันนั้นมีการพิจารณาร่าง พ.ร.ก.สำคัญกลับหายหน้า ประสานายใหญ่มองว่ามันไม่สวย

ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.วันดังกล่าวมีการพิจารณาร่าง พ.ร.ก. 2 ฉบับเกี่ยวกับการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลในประเทศไทย โดยต้องเก็บภาษีจากบริษัทนิติบุคคลต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย เพื่อรองรับเกณฑ์ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD ได้แก่ พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. … และ พ.ร.ก.การแก้ไขพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่…) พ.ศ. …

กฎหมายดังกล่าวเป็นไปตามเกณฑ์ของ OECD ภายใต้แนวทางการดำเนินการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทที่เข้าตามมาตรการต้องเสียภาษีขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax : GMT ในอัตรา 15% และต้องส่งเงินภาษีบางส่วนที่จัดเก็บได้ให้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยจะประกาศบังคับใช้ให้ทันกำหนดที่จะเริ่มเก็บในปี 2568 เมื่อ ครม.ให้ความเห็นชอบและมีผลบังคับใช้แล้ว จะได้รายงานให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรรับทราบต่อไป

น่าสนใจว่ารัฐมนตรีที่ลาประชุม 7 รายในวันนั้น ตัดของเพื่อไทยคือ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ และ อัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์ที่ถือว่าอยู่ในโควตาของเพื่อไทย พบว่า 3 รายจากภูมิใจไทยคือ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และ สุรศักดิ์ พันธุ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ อีก 2 รายจากรวมไทยสร้างชาติคือ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน และ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม รายของเสี่ยหนูได้กลับเข้ามาร่วมประชุมในช่วงบ่าย ซึ่งเจ้าตัวได้ยืนยันแล้วว่าประเด็นที่ทักษิณพูดไม่ได้พุ่งเป้ามาที่พรรคภูมิใจไทย ก่อนที่จะช่วยปกป้องไม่ให้ถูกมองว่านายใหญ่ครอบงำรัฐบาล ด้วยการย้ำว่า ภูมิใจไทยรับสัญญาณจากนายกฯ เพราะแพทองธารคือหัวหน้ารัฐบาล ตนพูดคุยกับนายกฯ เป็นประจำอยู่แล้ว มีอะไรก็ต้องหารือ ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาต่อกันอยู่แล้ว จากนี้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ซึ่งการร่วมรัฐบาลต้องทำงานร่วมกันเป็นไฟต์บังคับ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ และประชาชน

เมื่อมองไปยังสายสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และระหว่างพรรคแล้ว ต้องยอมรับกันว่าความแนบแน่นของเพื่อไทยกับภูมิใจไทยนั้น ย่อมมีมากกว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ ดังนั้น คำพูดของนายใหญ่จึงถูกมองว่าน่าจะเป็นพรรคของอดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพราะมีการพูดถึงการลดค่าไฟฟ้าให้ถูกลงกว่านี้ได้ด้วย แม้ อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ โฆษกพรรคแถลงว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับพรรคตน ต้องรอฟังจากบิ๊กตุ๋ยหัวหน้าพรรคอีกครั้งว่าคิดเห็นอย่างไร ยิ่งนายใหญ่ใช้คำว่าอีแอบมันชวนให้คอการเมืองมองได้หลายมุม

นอกเหนือจะกระแทกหมัดเข้าใส่พรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ทักษิณยังพูดถึงพวกนักร้อง ซึ่งน่าจะรวมความไปถึงนักเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหลายด้วย โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ประเทศไทยแปลกอย่างหนึ่งคนไม่มีอาชีพ มีฐานะดีกว่าคนมีอาชีพ ถ้าสรรพากรได้ยิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ป.ป.ง.ได้ยินก็ไปตรวจสอบ บางคนเมีย 3 ลูก 5 ไม่ได้ทำอาชีพอะไร บางคนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ทั้งที่อาชีพไม่มี กรณีแรกนั้นนายใหญ่อาจจะหมายถึงนักเรียกร้องประชาธิปไตยบางรายก็ได้

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีประเด็นที่ว่าบางคนถึงเวลาต้องไปหยอดเหรียญ ถ้าไม่หยอดก็รวน พอได้แล้ว ร้องไปร้องมา ทำให้คนไม่เชื่อมั่นประเทศไทย อย่างที่บอกว่าพวกที่เข้ารับซองสีน้ำตาลตามพรรคใหญ่ หรือพรรคซีกรัฐบาลนั้นมีเยอะ พอไม่ได้เท่าที่ต้องการก็แปลงร่างไปเป็นฝ่ายต่อต้าน เคลื่อนไหวโค่นล้มไปเสียฉิบ ที่ต้องขีดเส้นใต้คงเป็นบรรดาพวกนักร้องทั้งหลาย เพราะมีการประกาศแล้วว่า “ไอ้คนที่ร้องผม ร้องพรรค ร้องไม่สำเร็จ ก็เตรียมถูกเช็กบิลด้วยละกัน” งานนี้มีสะเทือนแวดวงนักร้องแน่

ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น คงเป็นการพูดในทำนองเปรียบเปรยที่ชี้ให้เห็นถึงรากที่มาของความมั่นใจในการเข้าสู่อำนาจบริหารหนนี้ของพรรคเพื่อไทย ที่ทักษิณพูดว่า “บังเอิญผมไปนครปฐม หมูมันเปลี่ยนเสียงเรียก มันเรียกผมพี่ พี่ แต่เมื่อก่อนผมไปนครปฐม หมูไม่เปลี่ยนเสียงเรียกมันไม่เรียกพี่ มันร้องอู๊ด ๆ แสดงว่าผมไม่หมูแล้วนะ ขนาดหมูมันยังรู้ว่าผมไม่หมูแล้ว” สารที่ผู้มีอำนาจที่แท้จริงของรัฐบาลและพรรคแกนนำต้องการสื่อก็คือ ฝ่ายกุมอำนาจไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมีผนังทองแดงกำแพงเหล็กคอยหนุนหลังอยู่แล้ว

ตบท้ายด้วยประเด็นเอ็มโอยู 44 ที่ทักษิณชี้แจงเสียจนเห็นภาพ ใครที่หลงเชื่อต้องบอกว่าบ้าไปแล้ว เพราะการเกิดขึ้นของข้อตกลงร่วมดังกล่าวคือ ตกลงจะคุยเรื่องที่เรายังไม่ตกลง อย่าเพิ่งโวยวาย “ไม่มีใครขายชาติหรอกถ้าขายคนเฮงซวยพอคุยได้แต่คงไม่มีคนเอา” ยืนยันเรื่องบนบกไม่ต้องเถียงกัน จบไปนานแล้ว เหลือแต่เส้นทางทะเล วันนี้เถียงกันแทบตายแต่คนที่ได้ประโยชน์คือคนที่ได้สัมปทานเดิม โดยอดีตนายกฯ ชี้ว่า การเป็นเพื่อนดีกว่าเป็นศัตรู แต่หลักการประเทศต้องมาก่อน ไม่ใช่เป็นเพื่อนแล้วบอกยกประเทศให้เพื่อน อันนั้นมันควายแล้ว

อรชุน

Back to top button