พาราสาวะถี

ชัดเจนว่าการโยนระเบิดใส่พรรคร่วมรัฐบาล กลางวงสัมมนา สส.พรรคเพื่อไทย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาของ ทักษิณ พุ่งเป้าไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ


ชัดเจนว่าการโยนระเบิดใส่พรรคร่วมรัฐบาล กลางวงสัมมนา สส.พรรคเพื่อไทย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาของ ทักษิณ ชินวัตร พุ่งเป้าไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ อันมี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นคนกุมบังเหียน ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ในเมื่อพรรคดังว่ารับรู้กันว่าอยู่ภายใต้ร่มเงาของอดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ นั่นยิ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นายใหญ่เลือกที่จะพาดพิง เพื่อสะกิดให้คนที่เคยสังฆกรรมกับอำนาจเก่าได้แสดงบทบาท ร่วมปกป้องรัฐนาวาของลูกสาว

จังหวะที่ถูกพวกขาประจำเล่นงานเรื่องเอ็มโอยู 44 พีระพันธุ์ในฐานะเป็นอดีตผู้พิพากษา เป็นผู้รู้ด้านกฎหมายเป็นอย่างดี แถมยังเคยร่วมอยู่ในรัฐบาลยุคประชาธิปัตย์ กระทั่งมาเป็นที่ปรึกษาสำคัญให้อดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ย่อมรู้ดีว่าประเด็นนี้ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และยังมีมุมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพลังงานที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงด้วย จึงไม่ควรปฏิเสธว่าไม่ใช่หน้าที่ที่จะชี้แจงแถลงไข ปล่อยให้กระทรวงการต่างประเทศรับเผือกร้อนแต่เพียงฝ่ายเดียว

ต้องรอดูปฏิกิริยาจากทางหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติอีกทีว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องที่ว่าถ้าเป็นแบบนี้ มีโอกาสที่จะกระทบต่อการร่วมรัฐบาลกันหรือไม่ ประสาคนที่คร่ำหวอดทางการเมืองมายาวนาน คำนวณตัวเลข สส.หากตัดเก้าอี้ของ รทสช.ไปแล้ว ก็ยังมีเสียงมากพอในสภาผู้แทนราษฎร ไม่ได้เป็นเสียงปริ่มน้ำเสียด้วย ที่สำคัญในจำนวน 36 สส.ของพรรคนั้น ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดจะยอมทิ้งความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลไปอยู่ในซีกฝ่ายค้าน

เห็นได้จากแรงกระเพื่อมเมื่อคราวที่มีการส่งรายชื่อรัฐมนตรีเพื่อร่วมรัฐบาลแพทองธาร เดิมยังจะดัน พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ให้ได้เป็นเสนาบดีต่อไป แม้จะเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็น เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ แล้วก็ตาม จนสุดท้ายต้องยอมถอยแล้วดัน สุชาติ ชมกลิ่ม มาเป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์แทน นี่ทำให้เห็นว่าเก้าอี้รัฐมนตรีเป็นที่เย้ายวน และพร้อมที่จะทำให้ สส.ของพรรคที่ไม่ได้เป็นเอกภาพยินดีเปิดรับข้อเสนอจากฝ่ายพรรคแกนนำ

อาจจะไม่ได้เหมือนก๊วนของ ธรรมนัส พรหมเผ่า แต่รูปรอยไม่ได้ต่างกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคพลังประชารัฐ เมื่อเคยมีพรรคร่วมรัฐบาลแบบครึ่งบกครึ่งน้ำมาแล้วหนหนึ่ง ย่อมจะมีหนที่สองที่สามตามมาได้ และการตัดสินใจใด ๆ ย่อมหมายถึงทิศทางของแต่ละพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย อย่าลืมว่าเวลานี้มีพรรคเกิดใหม่ที่ชื่อว่า “โอกาสใหม่” รอใครบางพวกจากบางพรรคอยู่ หากมีชนวนเหตุเกิดขึ้นย่อมเป็นตัวเร่งทำให้เกิดการตัดสินใจกันได้ง่ายขึ้น

การบอนไซพรรคของคนบ้านในป่าประสบความสำเร็จไปแล้ว กระบวนท่าในการวางหมากเพื่อกำหนดก้าวย่างทางการเมืองแบบข้ามช็อตย่อมรุกคืบไปยังเป้าหมายอื่น และหากมองเป็นการเอาคืนเครือข่ายพวกยึดอำนาจก็เหลือรวมไทยสร้างชาติที่ต้องเข้าไปจัดการ อย่างไรก็ตาม คำพูดของทักษิณไม่มีส่วนไปกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล เพราะ แพทองธาร ชินวัตร ยืนยันแล้วว่า ในการทำงานมีการประสานกันโดยตรงกับหัวหน้าแต่ละพรรคอยู่แล้ว

เหมือนเป็นการแบ่งบทกันเล่น ซึ่งการเมืองก็เป็นแบบนี้ทีใครทีมัน หากยึดความเป็นตัวกูของกูก็ยากที่จะทำงานร่วมกันได้ โดยเฉพาะฝ่ายที่เคยล้มทั้งรัฐบาลทักษิณและ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาก่อน แต่สามารถที่จะยกมือขานชื่อลูกสาวนายใหญ่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้โดยไม่เคอะเขิน ย่อมเป็นการยืนยันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากไม่ถึงขั้นขัดแย้งกันรุนแรง เสียผลประโยชน์มหาศาล ย่อมยอมที่จะกลืนเลือดอยู่ร่วมกัน ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ยังไม่มีสัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงต้องเหนียวแน่นกันต่อไป

ขณะเดียวกัน หลังการขับ 20 สส.กลุ่มธรรมนัสพ้นพรรคสืบทอดอำนาจ แม้จะไปสังกัดพรรคกล้าธรรมไม่ได้เลื้อยลงรูเพื่อไทย แต่เป็นที่รู้กันว่านี่เป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้กับพรรคนายใหญ่ไปโดยปริยาย นั่นเป็นเพราะ สส.ส่วนใหญ่ก็ถูกบังคับให้ต้องย้ายคอกในช่วงพวกเผด็จการเรืองอำนาจ จำใจตีจากพรรคของคนแดนไกลเวลานั้น เมื่อการเมืองหวนกลับคืนสู่ภาวะที่เหมือนจะใกล้ปกติ ย่อมเป็นจังหวะที่นักเลือกตั้งจะได้แสดงตัวให้เห็นกันว่าแท้จริงแล้วยืนอยู่ฝั่งไหน

ความเคลื่อนไหวของธรรมนัสชัดเจนตั้งแต่วันที่ทักษิณมีความเคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่หนแรกแล้ว ตัวอยู่กับพี่ใหญ่แต่ใจไปกับนายใหญ่หมดแล้ว แต่ใช่ว่าจะเป็นการเนรคุณนายเก่าเพราะยังคงรับใช้ ดูแลผลประโยชน์ให้ตามวิสัยที่ควรจะเป็น พอถึงจังหวะที่คนบ้านในป่าไม่ยอมส่งชื่อผู้กองมันคือแป้งเป็นรัฐมนตรีนั่นแหละคือจุดแตกหักสำคัญ และเป็นผลกระทบ สะเทือนต่ออำนาจ บารมีของพี่ใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้

ความสัมพันธ์ทางการเมืองหลังฉาก ณ เวลานี้ วงสนทนาไม่ได้มีการพูดถึงความวิตกกังวลว่าแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนจะกำชัยในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เนื่องจากมีการประเมินกันแล้วว่า ยังไงเพื่อไทยก็จะกลับมาครองความยิ่งใหญ่ หากแพ้ก็จะไม่ขาดลอยเหมือนหนก่อน แนวโน้มน่าจะเป็นฝ่ายชนะมากกว่า นั่นหมายความว่า นอกเหนือจากการร่วมมือช่วยผลักดันให้รัฐบาลแพทองธารสร้างผลงานเป็นรูปธรรมแล้ว มีการคำนวณตัวเลขกันไว้ล่วงหน้าแล้วว่าแต่ละพรรคจะได้ สส.กันกี่เก้าอี้ รวมไปถึงสูตรของรัฐบาลใหม่ที่ควรจะเป็น

แล้วไม่กังวลต่อกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จ้องจะล้มรัฐบาลกันเลยหรือ การที่สายสัมพันธ์กับกองทัพยังเหนียวแน่นย่อมเป็นการการันตีถึงความมั่นคงได้ในระดับหนึ่ง ส่วนพวกม็อบพอสแกนไปแล้วเห็นเบื้องหน้ามีเบื้องหลังก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตระหนกตกใจอะไร ความเป็นจริงคือคนส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นความขัดแย้ง ต้องการความสงบ อยากให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เร่งสร้างผลงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสที่แพทองธารและคณะจะได้พิสูจน์ฝีมือ สิ่งเดียวที่จะทำให้ไม่ได้ไปต่อคือสะดุดขาตัวเอง

อรชุน

Back to top button