EA ขายแสงพรหมพิราม.!
ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร..!! ที่วันก่อนเห็น EA แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าด้วยการประกาศขายทรัพย์สินในโครงการโรงไฟฟ้า
- ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร..!! ที่วันก่อนเห็นบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าด้วยการประกาศขายทรัพย์สินในโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท อีเอ โซล่า พิษณุโลก จำกัด (ESP) โดยอาจขายหุ้นบางส่วนหรือขายทั้งหมด มูลค่าเสนอขายไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท…
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ EA ประกาศขายสินทรัพย์…ในช่วงเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ก็ตัดขายบริษัท ลาภภักดี ปาล์ม จำกัด (LPD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยทางอ้อม ถือโดยบริษัท อีเอ ปาล์ม เน็ตเวิร์ค จำกัด (EPN) ให้กับกลุ่มของ ป.พานิชรุ่งเรื่อง ปาล์มออยล์ไปแล้ว ได้เงินมาก้อนหนึ่ง 365 ล้านบาท เพื่อต่อลมหายใจ…
ส่วนต้นสายปลายเหตุของการทยอยขายสินทรัพย์นั้น หลายคนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่า ที่ผ่านมา EA ตกอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ไหนจะเรื่องผู้ถือหุ้นใหญ่ถูกฟอร์ซเซลล์ จนราคาฟลอร์แล้วฟลอร์อีก ตามมาด้วย “สมโภชน์ อาหุนัย” อดีตซีอีโอ และพรรคพวก ถูกก.ล.ต.กล่าวโทษปมทุจริต กระทั่งปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างหนัก จนนำมาสู่การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้นั่นแหละ
ขณะที่ปัจจุบัน EA ต้องแบกหนี้ก้อนโต แบ่งเป็น เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 27,498.20 ล้านบาท และหุ้นกู้ 31,166 ล้านบาท โดยในปี 2568 มีภาระทางการเงินที่ต้องชำระเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงินและผู้ถือหุ้นกู้รวมทั้งสิ้น 15,194.06 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน 7,744.06 ล้านบาท และหุ้นกู้ 7,450 ล้านบาท…
เห็นแล้วต้องบอกว่า อาการน่าเป็นห่วง ใครใครเขาก็เตือน…
ส่วนการขายโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท อีเอ โซล่า พิษณุโลก ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่ที่ ต.มะต้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก มีกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 90 เมกะวัตต์ เริ่ม COD ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2559 มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต อายุสัญญา 5 ปี และสามารถต่ออายุสัญญาออกไปได้คราวละ 5 ปี ซึ่งโรงไฟฟ้าแห่งนี้มี Adder อยู่ที่ 6.50 บาท และจะหมด Adder ในเดือน เม.ย. 2569
ก็น่าสนใจว่าใครจะมาซื้อต่อ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างคัดเลือกผู้ลงทุนที่มีศักยภาพและมีความสนใจ คาดว่าธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในเดือน เม.ย. 2568 เป็นอย่างช้า…
การขายโรงไฟฟ้าครั้งนี้ก็จะทำให้ EA ได้เงินก้อนใหญ่มาต่อลมหายใจ สะท้อนได้จากแผนการใช้เงินที่ระบุชัดเจน เกินครึ่งถูกนำไปชำระหนี้ โดยแบ่งเป็นก้อนแรก 4,365.18 ล้านบาท ใช้หนี้สินระยะยาวของโครงการ ESP ส่วนอีกก้อน 3,634.82 ล้านบาท นำไปชำระหนี้เงินกู้สถาบันการเงินของ EA และหนี้หุ้นกู้ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และใช้ในโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่
จะว่าไป การขายแสงพรหมพิราม ก็ไม่ต่างจากการขายผ้าเอาหน้ารอดนะเนี่ย…หรือใครจะเถียง..??
โอเค…ระยะสั้นคงดีแหละ (ถ้าขายได้) แต่ระยะยาวก็น่าเป็นห่วง เพราะจะทำให้รายได้ที่เป็น Recurring Income หรือรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจที่หล่อเลี้ยงบริษัทอยู่ตอนนี้หายไปบางส่วน จากเดิมที่เคยมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน ก็จะเหลือไม่ถึงพันล้านบาทแล้วน่ะสิ…
อ้าว…แล้วต่อไป EA จะเอาอะไรกินล่ะเนี่ย…
เพราะธุรกิจดั้งเดิม ธุรกิจไบโอดีเซล ก็โตแบบกะปริบกะปรอย ไม่น่าจะพอกินละมั้ง…ส่วนธุรกิจใหม่ทั้งธุรกิจรถไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ และธุรกิจแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่เป็นความหวังของหมู่บ้าน ก็ไม่ได้สดใสนะออเจ้า…
ที่สำคัญ EA จะเข้าตาจนจนต้องประกาศขายสินทรัพย์เพิ่มเติมอีกอ๊ะป่าว..?? เป็นช็อตที่น่าติดตาม
หากขายของเก่ากินเรื่อย ๆ โดยไม่มีของใหม่เข้ามาเติม…ก็จะไม่เหลืออะไรแล้วนะ
ขณะที่แผนการเพิ่มทุนแบบ RO ไม่เกิน 3,713.34 ล้านหุ้น อัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาหุ้นละ 2 บาท ก็ยังไม่รู้จะออกหัวหรือออกก้อย…
ถ้าออกหัว…ก็ดีไป แต่ถ้าออกก้อย…ก็ตัวใครตัวมันละกัน..!?
…อิ อิ อิ…