พาราสาวะถี

คำตอบของ แพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกนักข่าวถามถึงผลสำรวจความเห็นของประชาชนจากนอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ


คำตอบของ แพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกนักข่าวถามถึงผลสำรวจความเห็นของประชาชนจากนอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ ได้รับเลือกให้เป็นนักการเมืองแห่งปี ไม่ได้อยู่ที่เรื่องความดีใจ ลดแรงกดดันจากเสียงวิจารณ์ทั้งหลายแหล่ผ่านโลกโซเซียล และเป็นกำลังใจในการทำงานให้กับนายกรัฐมนตรีหญิง แต่เป็นคำยืนยันจากเจ้าตัวที่ว่า “เป็นนายกฯ มาได้ 90 กว่าวัน พยายามทำให้เต็มที่ที่มีโอกาส ได้ทำงานเพื่อประชาชน ก็เต็มที่” นี่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจ เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด

ต้องไม่ลืมว่า ยิ่งได้รับเสียงชื่นชมมากเท่าไหร่ นั่นเท่ากับความหวังที่ย่อมมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ตามที่แพทองธารยอมรับกดดันเหมือนกัน แต่ทำให้เต็มที่ที่สุดด้วยใจที่หวังว่าประโยชน์จะถึงมือประชาชน น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ความพยายามที่จะไม่สร้างดราม่าให้ใครทะเลาะกัน ในที่นี้คงต้องโฟกัสไปที่พรรคร่วมรัฐบาล เพราะมีบางประเด็น เช่นล่าสุดกับร่าง พ.ร.บประชามติ ที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า จะเป็นชนวนความขัดแย้งของฝ่ายกุมอำนาจ จนทำให้ไปต่อด้วยกันไม่ได้

หากมองจากปัจจัยเช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดโอกาสเหยียบตาปลา ขัดคอจนไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อีก แต่ความเป็นจริง แต่ละพรรคการเมืองย่อมมีรากที่มา ต้นทุนแตกต่างกัน การแยกการเมืองเป็น 3 ก๊กอย่างที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีระบุ ทำให้เห็นความจำเป็นที่แต่ละพวกจะต้องทำตามแนวทางเพื่อสนองตอบต่อฐานมวลชนของตัวเองให้ได้มากที่สุด ซึ่งสองก๊กแรกนั้นชัดเจนแล้วว่าจะต้องดำเนินการทางการเมืองกันอย่างไร

นั่นก็คือ ก๊กเพื่อไทยกับก๊กพรรคประชาชน โดยพรรคสีส้มสถานการณ์ ณ วันนี้ต้องตรึงความนิยมในบรรดาเหล่ากองเชียร์ให้เหนียวแน่นเหมือนเดิม เพราะตั้งแต่การยุบพรรคก้าวไกล แล้วนำมาซึ่งการสังกัดพรรคใหม่ เปลี่ยนตัวทีมผู้นำ ดูเหมือนว่ากระแสเริ่มที่จะแผ่วลงต่อเนื่อง สวนทางกับพรรคแกนนำรัฐบาล หากนำเอากรณีการเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ. ก็จะเห็นถึงความคึกคัก ความคาดหวัง และเป้าหมายแห่งชัยชนะที่ชัดเจน

ซีกของพรรคประชาชน เปิดตัวเน้นไปยังจังหวัดที่มี สส.ของตัวเองเป็นด้านหลัก หวังว่าอย่างน้อยจะสามารถปักธงคว้าเก้าอี้นายก อบจ.เป็นต้นทุนสร้างความเชื่อมั่นให้กับพรรคได้ในอนาคต ขณะที่เพื่อไทยแม้อยากจะส่งครบทุกจังหวัด แต่ด้วยเหตุที่ว่าบางพื้นที่ฐานเสียงยังต้องใช้เวลาในการกอบกู้กลับมา ขืนส่งคนลงแล้วแพ้จะทำให้เสียขวัญกันไปใหญ่ จึงต้องใช้การเจรจากับพรรคร่วมด้วยการเปิดทางให้ส่งคนที่คาดว่าจะต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามได้เป็นผู้สมัครแทน

แต่หากดูโดยภาพรวม จากความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตร ก็จะเห็นได้ว่า หลายพื้นที่ซึ่งเก้าอี้ตกไปเป็นของพรรคเพื่อนร่วมรัฐบาล เพื่อทวงความยิ่งใหญ่กลับคืนมาก็ไม่มีการเปิดทางให้เหมือนกัน จะเห็นได้ว่าบางจังหวัดที่เป็นเป้าหมายหลักในการกวาดเก้าอี้ สส.ครั้งหน้าแบบยกจังหวัด จะมีรัฐมนตรีที่มีหัวโขนเป็นแกนนำสำคัญของพรรคไปขึ้นเวทีเปิดตัวผู้สมัครร่วมกับนายใหญ่ด้วย ดังภาพที่เห็นในการเปิดตัว “มาดามหน่อย” ยลดา หวังศุภกิจโกศล อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา ที่จะลงชิงเก้าอี้อีกสมัยภายใต้สังกัดพรรคแกนนำรัฐบาล

กระบวนการทางการเมืองสำหรับเพื่อไทยนั้นชี้ให้เห็นถึงความมั่นใจในฐานะแกนนำฝ่ายกุมอำนาจที่จะสร้างผลงานให้เป็นที่ปรากฏ บทบาทในสนามเลือกตั้งและฝ่ายนิติบัญญัติมีการสั่งให้ว่าที่ผู้สมัครและ สส.ของพรรคลุยทำงานอย่างเต็มที่ ประเด็นที่เห็นต่าง หากต้องเกิดวิวาทะ มีจังหวะที่จะต้องปะทะกันกับผู้แทนของซีกร่วมรัฐบาล ก็ต้องว่ากันไปตามท้องเรื่อง เป็นไปตามที่ระดับนำตกลงกันไว้หลังฉาก งานของฝ่ายบริหารต้องเดินหน้าในเรื่องที่เห็นร่วมกัน ส่วนความเห็นต่างให้ไปหารือกันจนกว่าจะตกผลึก 

เรื่องไหนที่ตกลงกันไม่ได้ก็แขวนไว้ เช่นเดียวกับกรณีร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่สภาผู้แทนราษฎรตีตกร่างที่ผ่านการพิจารณาของกรรมาธิการร่วม ยืนยันใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว โดยภูมิใจไทยเลือกที่จะยืนข้าง สว.สายสีน้ำเงิน คือ หนุนเสียงข้างมากสองชั้น เท่ากับว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่ทันการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีฝ่ายไหนตกเป็นจำเลย พรรคแกนนำรัฐบาลก็แสดงให้เห็นว่าได้ทำเต็มที่แล้ว ส่วนพรรคสีน้ำเงินก็ได้แสดงบทบาทของตัวเองต่อการปกป้องรัฐธรรมนูญที่อาจเรียกได้ว่า เอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้งได้มากที่สุด

ด้วยท่วงทำนองลักษณะนี้ จึงทำให้มองไปถึงก๊กที่สามนั่นก็คือ ก๊กอนุรักษนิยม ที่จนถึงเวลานี้ตามมุมมองของณัฐวุฒิชี้ว่าในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค ยังไม่มีพรรคไหนเป็นตัวแทนที่ชัดเจน ประชาธิปัตย์เคยยืนตรงนี้มายาวนาน แต่ผลพวงจากรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจจนทำให้พรรคเสียหายย่อยยับก็ไม่แน่ใจว่ายังอิงแอบอยู่กับฝ่ายนี้ต่อไปหรือไม่ ขณะที่รวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคที่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์สูงสุดในพรรคกลุ่มนี้ และภูมิใจไทยเป็นพรรคที่มีกำลังทางการเมืองสูงสุดในกลุ่มนี้ ณ ปัจจุบัน

หากพิจารณาจากท่าที การขับเคลื่อนทางการเมืองที่ผ่านมา พรรคที่แสดงออกชัดเจนในการปกป้องมรดกตกทอดของเผด็จการสืบทอดอำนาจน่าจะเป็นพรรคสีน้ำเงินมากกว่า แต่ด้วยลีลา ชั้นเชิงของผู้นำพรรคและกุนซือที่คอยชี้แนะ ทำให้มีการตีกรรเชียงเอาตัวรอดทุกครั้งเมื่อถูกต้อนให้ต้องเลือกยืนอยู่ข้างหนึ่งข้างใด อย่างไรก็ตาม จากโจทย์ทางการเมืองที่จำเป็นต้องสกัดกั้นฝ่ายการเมืองสุดโต่ง จึงทำให้ก๊กเพื่อไทยและก๊กอนุรักษนิยมต้องจับมือกันแบบนี้ต่อไป

รัฐบาลพลิกขั้วที่เกิดขึ้น จนมาถึงการดึงเอาพรรคเก่าแก่ไปทำงานร่วมกับเพื่อไทยได้ ทั้งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ย่อมเป็นตัวบ่งชี้ถึงความไม่ปกติทางการเมือง เรื่องอีแอบทางการเมืองที่ทักษิณเป็นผู้เปิดประเด็นไปก่อนหน้า ล่าสุดก็บอกกับนักข่าวว่า “ขออย่าไปสนใจ” และบอกอีกว่าคุยกันเป็นประจำกับแกนนำของภูมิใจไทย ซึ่งน่าจะรวมไปถึงแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอื่นด้วย เสถียรภาพของรัฐบาลไม่ได้อยู่ที่ท่าทีทางการเมืองที่บางเรื่องไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ขึ้นอยู่กับผลงานที่จะปรากฏมากกว่า หากนานวันแล้วไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมประชาชนคงไม่ให้โอกาสเหมือนช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

อรชุน

Back to top button