พาราสาวะถี

ไม่ได้เหนือความคาดหมายกับฉายาของรัฐบาลและรัฐมนตรี ที่สื่อประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งให้ในปีนี้ รัฐบาล “พ่อ” เลี้ยง เป็นการฉายภาพที่ชัดเจน


ไม่ได้เหนือความคาดหมายกับฉายาของรัฐบาลและรัฐมนตรี ที่สื่อประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งให้ในปีนี้ รัฐบาล “พ่อ” เลี้ยง เป็นการฉายภาพที่ชัดเจนเพราะ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ปกปิดอะไรในการเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมไปถึงการบอกกับนักข่าวในเชิงประชดประชันเกี่ยวกับการเข้าพบของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลที่บ้านจันทร์ส่องหล้าหลัง เศรษฐา ทวีสิน ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินพ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรีว่า แค่ร่วมวงกินมาม่ากันธรรมดา

ตลอดจนการขึ้นเวทีแสดงวิสัยทัศน์ผ่านเวทีรับเชิญต่าง ๆ รวมทั้งการขึ้นเวทีปราศรัยช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทยหาเสียงในหลายจังหวัด ร่วมกับการให้สัมภาษณ์ทุกครั้ง จะพูดถึงทิศทาง แนวทางการทำงานของรัฐบาล เป็นธรรมดาที่มีลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเป็นผู้นำประเทศ ในฐานะที่ตัวเองเคยประสบความสำเร็จมาก่อน ย่อมเป็นที่ปรึกษาชั้นดี จนฝ่ายตรงข้ามพวกขาประจำยัดเยียดข้อกล่าวหา ครอบงำ ชี้นำพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลไปโดยปริยาย

ขณะที่ฉายาของ แพทองธาร ชินวัตร “แพทองโพย” เป็นการล้อไปกับบุคลิก และวิธีการทำงานของเจ้าตัว ที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่การใช้โพยผ่านไอแพดอาจเป็นวิธีการที่คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นชิน และสื่อก็มองเห็นว่าเป็นจุดที่นำมาขยายแล้วเห็นภาพ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่โกรธ พร้อมบอกนักข่าวอีกว่าน่าจะเป็นแพทองแพดมากกว่า ฉายาที่น่าจะโดนใจคนทั่วไปคงจะเป็นของ 3 รัฐมนตรีร่วมรัฐบาล รายแรกคือ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีมหาดไทยในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกับ “ภูมิใจขวาง”

แทบไม่ต้องบรรยายก็เข้าใจกันดีอยู่แล้ว ชูสโลแกนนำมุ่งมั่นทำงานไม่ขัดแย้งใคร แต่หลายเรื่องที่เป็นกฎหมายซึ่งพรรคแกนนำรัฐบาลเป็นตัวนำผลักดัน ก็กระโดดขวางแบบสุดตัว ล่าสุดก็เป็นร่าง พ.ร.บ.ประชามติที่ยกมือไปในทางเดียวกันกับ สว.สายสีน้ำเงินเห็นด้วยกับเสียงข้างมาก 2 ชั้น อย่างไรก็ตาม ด้วยสไตล์ปลาไหลใส่สเก็ต เสี่ยหนูไม่ติดใจฉายานี้ ไม่มีปัญหากับการที่นักข่าวหยิกแกมหยอกถือเป็นสีสันที่เกิดขึ้นในแต่ละปี

ไม่เพียงเท่านั้น ประเด็นที่ว่าท่วงทำนองที่แสดงออกจะสร้างความร้าวฉาน เป็นความบาดหมางกับเพื่อไทยหรือไม่ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา การร่วมก๊วนกอล์ฟกับนายใหญ่ พร้อมด้วยสองบิ๊กพลังงานของประเทศ สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คงไม่ต้องบอกถึงความปึ้กในสัมพันธ์ ไม่ว่าจะฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายนายทุนก็ตาม

ฟากของแพทองธาร ก็ย้ำว่าการพบปะกันของผู้เป็นพ่อกับเสี่ยหนู ไม่ใช่เรื่องแปลกกับการที่รู้จักมักคุ้นกันมานานกว่า 20 ปี ประเด็นที่ว่ามีการแยกตัวไปตั้งพรรคช่วงรัฐบาลในค่ายทหารนั้น บอกมาตลอดว่าเขาเคลียร์กันจบไปตั้งนานแล้ว การเมืองช่วงของเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นเรื่องการเอาตัวรอด ทุกอย่างมีเหตุมีปัจจัย สุดท้ายเมื่อการเมืองต้องกลับมายืนในจุดที่นักเลือกตั้งต้องพาประเทศเดินไปข้างหน้า และปกป้องสิ่งสำคัญจากฝ่ายการเมืองสุดโต่ง ยิ่งเป็นโจทย์บังคับให้รักกันมากกว่าเดิม

ความเห็นต่างทางการเมืองเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่การจุดประเด็นหรือการนำเรื่องเท็จมาโจมตีโดยมีเป้าหมายเพื่อการล้มล้างเหมือนอย่างช่วงของการปลุกระดมสร้างความขัดแย้งที่ผ่านมา วันนี้จะเห็นได้ว่าการทำนิติสงครามกับฝ่ายกุมอำนาจนั้น ไม่ได้สร้างความหวั่นไหวให้กับรัฐบาลแม้แต่น้อย หรือจะเป็นตามที่ทักษิณให้สัมภาษณ์ ใครยื่นก็ยื่นไป ถ้ายื่นผิดแล้วก็ต้องคอยตั้งรับ ยื่นมาเลย ไม่มีปัญหา ตนไม่ได้ขู่ Tit-for-tat is a fair play ซึ่งเป็นวลีการตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ลักษณะเดียวกันกับสำนวนไทย “หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง”

ประเภทไก่เห็นตีงู แต่หนนี้อย่าลืมเป็นอันขาดการปลุกระดมใด ๆ ต้องไปดูว่าเป็นม็อบมีเส้น หรือเป็นม็อบรับงาน เพราะพวกนักเคลื่อนไหวเวลานี้ชี้นิ้วไปได้เลยใครบ้างที่รับงานมาจากคนอยากเป็นใหญ่ นั่นจึงไม่ได้ทำให้สั่นคลอนต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ตรงข้ามกลับไปสร้างความอึดอัดรำคาญให้กับฝ่ายที่ต้องรับเรื่องไปตรวจสอบ จนบางองค์กรแสดงท่าทีผ่านบทสัมภาษณ์กับสื่อ จะร้องอะไรขอให้มีพยาน หลักฐานแน่นอน ไม่ใช่ยื่นเรื่องมาแล้วทำว่าผิดหรือไม่ ร้องเรียนแบบนี้เขาเรียกว่ามักง่าย หรือทำกันแบบชุ่ย ๆ นั่นเอง

พูดถึงอีกสองรัฐมนตรีที่ได้รับฉายาจนคนมองเห็นภาพหนึ่งคือ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติกับฉายา “พีระพัง” ที่นักข่าวมองว่าพังอุดมการณ์จากพรรคขั้วตรงข้ามตระกูลชินวัตร ตกลงปลงใจมาจับมือร่วมรัฐบาลลูกสาวทักษิณ แลกกับเก้าอี้รัฐมนตรีคุมกระทรวงใหญ่ ขายฝันเรื่องพลังงานหลายอย่าง ตั้งแต่ยุคเศรษฐามาถึงอุ๊งอิ๊ง ป่านนี้ยังไม่ชัดเจน เป็นการซุ่มทำแบบเงียบ ๆ หรือจะกลายเป็นสงัดไม่ทันรัฐบาลนี้ แล้วตัวเองมีอันพังพาบไปก่อน

ไม่เพียงเท่านั้น งานการเมืองในนาม รทสช.ก็โลว์โปรไฟล์ จัดกิจกรรมพรรคได้เงียบกริบ จนสมาชิกคิดและเกิดกระแสว่า สส.ที่มีจะอยู่กันตลอดรอดฝั่งถึงเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ คู่ขนานกันมากับศิษย์เก่าพรรคประชาธิปัตย์นั่นก็คือ เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าพรรคเก่าแก่กับฉายา “ประชาธิเป๋” ไม่ต้องสาธยายอะไรให้เมื่อยตุ้ม การอุ้มเอาพรรคไปร่วมรัฐบาล ยกมือหนุนลูกสาวทักษิณ ทั้งที่เป็นคู่แค้นกันมานานปี เท่านี้ก็สร้างความป่นปี้ให้กับพรรคจอมหลักการ จนถึงเวลานี้ยังมองไม่ออกว่าการผูกมิตรกับศัตรูที่เคยฟาดฟันกันมา ได้คุ้มเสียหรือเปล่า

น่าสนใจกับ 3 รัฐมนตรีที่สื่อทำเนียบฯ ยกให้เป็นเสนาบดีที่โลกลืม นำโดย พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กับ นภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ สองรายจากภูมิใจไทย และ สุชาติ ชมกลิ่ม รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์จากรวมไทยสร้างชาติ ทั้งหมดได้ดูแลกระทรวงเกรดเอ แต่สามเดือนที่ผ่านมา จะว่าไปสองรายก่อนหน้าทำมาตั้งแต่ยุคเศรษฐาชื่อก็ยังไม่ติดหูคนส่วนใหญ่ เป็นธรรมดาที่หนึ่งคณะรัฐบาลจะต้องมีรัฐมนตรีแบบนี้ แต่เวลาเพิ่งผ่านมาแค่ 3 เดือน ให้เวลาทำงานครบครึ่งปี หากยังเป็นอย่างนี้พรรคต้นสังกัดคงต้องขยับอย่างช่วยไม่ได้

อรชุน

Back to top button