พาราสาวะถี
คู่ขนานกันกับที่ผู้เป็นพ่อ ทักษิณ ไปช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ที่พรรคเพื่อไทย แพทองธาร ได้ลางานในเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
คู่ขนานกันกับที่ผู้เป็นพ่อ ทักษิณ ชินวัตร ไปช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ที่พรรคเพื่อไทย แพทองธาร ชินวัตร ได้ลางานในเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ทำการเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคในพื้นที่ 9 จังหวัดประกอบไปด้วย นครราชสีมา น่าน บึงกาฬ ปราจีนบุรี มุกดาหาร หนองคาย เชียงราย สกลนคร และ ศรีสะเกษ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นตัวความหวังทั้งสิ้น โดยเฉพาะที่ศรีสะเกษนั้น นายใหญ่มีคิวจะไปขึ้นเวทีปราศรัยช่วยหาเสียงด้วยในช่วงสิ้นปี
สำหรับการชิงชัยเก้าอี้นายก อบจ.หนนี้ พรรคเพื่อไทยมีมติส่งผู้สมัครในนามพรรคทั้งหมด 22 จังหวัด แบ่งเป็นภาคเหนือได้แก่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน เชียงราย พะเยา สุโขทัย ภาคอีสาน 12 จังหวัดประกอบด้วย นครพนม มหาสารคาม สกลนคร ศรีสะเกษ บึงกาฬ หนองคาย มุกดาหาร นครราชสีมา โดย 4 จังหวัดเลือกตั้งผ่านไปแล้วคือ ยโสธร อุดรธานี ร้อยเอ็ด และ กาฬสินธุ์ ภาคกลาง 3 จังหวัดได้แก่ กาญจนบุรี ปราจีนบุรี และปทุมธานี โดยที่ปทุมฯ นั้นครั้งแรกส่งในนามพรรคเพื่อไทย และชนะการเลือกตั้งแต่ได้ใบเหลืองจาก กกต. พอเลือกใหม่เพื่อไทยไม่ได้สนับสนุน
ขณะเดียวกัน มีการสมัครในนามสมาชิกพรรคเพื่อไทย 4 จังหวัดคือ เชียงใหม่ อุบลราชธานี ขอนแก่น และอำนาจเจริญ เหตุผลที่ต้องใช้ว่าในนามสมาชิกพรรค เพราะคู่แข่งบางรายแม้พรรคไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกัน มิหนำซ้ำ ยังมีโอกาสที่จะทำงานร่วมงานฐานะสมาชิกพรรคในอนาคตด้วย จึงไม่ใช้การส่งในนามพรรค บางจังหวัดเป็นการหลีกเลี่ยงข้อครหา และเกรงว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน แต่ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาถือว่าเป็นที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของการเลือกตั้งนายก อบจ.เที่ยวนี้ คงเป็นประเด็นที่มีทักษิณเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะผู้ช่วยหาเสียง เป็นการดึงเอาการเมืองท้องถิ่นเข้ามาเป็นเรื่องของพรรคการเมือง เกี่ยวพันกับการเมืองในระดับประเทศ ทุกเวทีที่นายใหญ่ขึ้นปราศรัยจะเห็นได้ว่ามีการตอกย้ำถึงทิศทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ฉายภาพให้เห็นถึงการทำงานปีหน้า สร้างความหวัง เพิ่มแรงจูงใจให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกได้ง่ายขึ้น
สำหรับการเดินทางไปปราศรัยช่วยผู้สมัครที่เชียงใหม่ ซึ่งทักษิณขึ้นไป 4 เวทีนั้นเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของรัฐบาลอย่างแท้จริง มีการยืนยันถึงการทำงานของฝ่ายกุมอำนาจในปี 2568 ที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ พร้อมกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับประชาชน จะเป็นปีแห่งความหวัง ปีแห่งอนาคต เงินจะไหลเข้าสู่ระบบ โดยที่พ่อของนายกฯ บอกกับประชาชนว่าให้ฟิตร่างกายให้แข็งแรง ปี 2569 จะรวย
เรียกได้ว่าท่วงท่า ลีลา ความคมในการเรียกคะแนนนิยมจากผู้สนับสนุนนั้นยังคงเฉียบขาดเหมือนเดิม ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่มีการพาดพิง และปรามาสคู่แข่งอย่างพรรคประชาชน โดยเจ้าตัวมีความมั่นอกมั่นใจว่าตัวเองมีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง สร้างความอยู่ดีกินดีให้กับประชาชนได้ ยิ่งการชี้ให้เห็นว่าหลังรัฐประหาร มีการเอาใครก็ไม่รู้มาบริหารประเทศ ภาษาที่ใช้ว่า “ง่าวกว่าผมทั้งนั้น” น่าจะเป็นการจี้ใจดำตรงใจกับคนส่วนใหญ่ที่เห็นกันอยู่ว่ากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ความเดือดร้อนทุกข์ใจของประชาชนเป็นอย่างไร
แต่มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ การกลับมาหนนี้นอกเหนือจากจะใช้ความรู้ความสามารถ เพื่อช่วยรัฐบาลพลิกฟื้นประเทศแล้ว ทักษิณยังบอกด้วยว่า ตนกลับมาเป็นกรรมการห้ามมวย ใครผิดใจกันทั้งนักธุรกิจหรือนักการเมือง ตนจับมานั่งคุยกัน เอาไวน์คนละแก้ว นี่เป็นน้ำเปลี่ยนนิสัย กินแล้วนิสัยเปลี่ยน ดังนั้น ก็เปลี่ยนนิสัยจากโกรธกันเป็นดีกัน ตอนนี้เปลี่ยนมาหลายคู่แล้ว บทบาทฉากหลังนี่แหละที่ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ
ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ความขัดแย้งที่กินเวลามาเกือบ 20 ปีนั้น มีแต่สร้างหายนะให้บ้านเมือง พวกม็อบมีเส้น ม็อบนกหวีดได้บทเรียนกันแล้ว กลุ่มเคลื่อนไหวที่มีเบื้องหลัง นอกจากไม่ได้สร้างประโยชน์ใดให้กับประเทศแล้ว ยังเป็นตัวฉุดรั้ง ถ่วงความเจริญเข้าไปอีก ดังนั้น โจทย์ร่วมของพรรคร่วมรัฐบาลวันนี้คือ ต้องไม่ทะเลาะกัน ต้องคุยกัน และปรองดองกัน ช่วยกันคิดช่วยกันทำบ้านเมืองให้เจริญ เหล่าแกนนำที่คุยกันจนนำไปสู่การปิดดีลตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว ล้วนแต่รู้ถึงข้อตกลงร่วมเป็นอย่างดี
เพียงแต่บางบริบทสำหรับบางพรรคการเมืองจำเป็นที่จะต้องแสดงออก เพื่อรักษาแนวทางของพรรค เช่นกรณีของภูมิใจไทยที่เหมือนจะทำตัวขวางทุกเรื่อง ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ถึงขั้นแตกคอ แตกหักกับพรรคแกนนำ คงไม่ต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นอย่างรวมไทยสร้างชาติ หลังจากสื่อทำเนียบตั้งฉายา “พีระพัง” ให้กับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ล่าสุด เสี่ยตุ๋ยได้พาแกนนำและ สส.ของพรรคไปยื่นร่างกฎหมายส่งเสริมสนับสนุนให้ใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หรือโซลาร์รูฟท็อป เพื่อปลดล็อกค่าครองชีพของประชาชนในการลดค่าไฟฟ้า
มีการคุยฟุ้งว่านี่เป็นกฎหมายที่ไม่เคยมีในประเทศไทยมาก่อน พร้อมบอกด้วยว่าไม่มีใครแก้ปัญหาได้เร็วกว่าตนอีกแล้ว ก่อนจะยืนยันภายใต้การดูแลของตน ทุกอย่างจะถูกลง ประชาชนและประเทศชาติจะได้ประโยชน์มากขึ้น รวมถึงจะสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ลดต้นทุนการผลิตสินค้าให้ประชาชน ก่อนจะตอกกลับสื่อหน้าหงายวันก่อนมีการบอกว่าตนไม่เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ตนไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ เนื่องจากไม่ได้เป็น สส. สื่อน่าจะฉลาดกว่านี้
ไม่ต่างกับ 3 รัฐมนตรีที่ถูกชี้ว่าโลกลืม ทั้ง พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ, นภินทร ศรีสรรพางค์ และ สุชาติ ชมกลิ่น ที่ได้พากันชี้แจงสื่อ อธิบายถึงกระบวนการทำงาน และผลงานที่ได้ทำมา จังหวะปลายปีแบบนี้ กับช่วงเวลาที่ผ่านการทำงานของรัฐบาลมาครบไตรมาส ถือเป็นโอกาสที่จะได้มีการประเมินผลเบื้องต้นกันไปในตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องปรับ ครม. โดยแพทองธารและเพื่อไทยวางเป้าหมายไปที่งานในกำกับของพรรคแกนนำ ต้องเห็นผลเป็นรูปเป็นร่างภายในไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้พรรคร่วมต้องเร่งเครื่องทำงานคู่ขนานกันไปด้วย หลังจบ 6 เดือนค่อยประเมินกันอีกที ใครจะอยู่ใครจะไป
อรชุน